มีกลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซมากมายให้เลือกใช้ แต่การผสมผสานกลยุทธ์การตลาดที่สร้างสรรค์ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างกลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจ การใช้แนวทางการตลาดเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้คุณค้นพบว่ากลยุทธ์และช่องทางใดที่เหมาะสมที่สุดกับสินค้าและโมเดลธุรกิจของคุณ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ คุณต้องเข้าใจถึงความต้องการของตลาดเป้าหมายของคุณ โดยใช้ Three Multipliers Framework ของ ดรูว์ ซาโนคกี้ (Drew Sanocki) คุณจะเข้าใจว่าการตลาดสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซนั้นมีมิติที่ลึกซึ้งมากขึ้น
นี่คือ 3 มิติในทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการตลาดสินค้า
- เพิ่มจำนวนลูกค้า
- เพิ่มจำนวนการซื้อโดยเฉลี่ยต่อผู้ซื้อ (ความถี่ในการซื้อ)
- เพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV)
เพื่อขยายความสำเร็จของความพยายามในการตลาดสินค้า ควรให้ความสำคัญกับทั้ง 3 ด้านนี้ อ่านต่อเพื่อเรียนรู้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่สามารถช่วยให้คุณขยายฐานลูกค้า ยอดขาย และรายได้ของคุณ
10 วิธีทำการตลาดสินค้าที่ดีที่สุด
- นำเสนอโปรแกรมสะสมคะแนน
- สร้างแคมเปญอีเมลเพื่อชวนให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
- ส่งรหัสคูปองสมัครสมาชิกทางอีเมลหรือ SMS
- เปิดตัวสินค้าใหม่ตามกำหนดเวลา
- สร้างโมเดลการสมัครสมาชิก
- ใช้ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน และโหมดให้เป็นประโยชน์
- พัฒนากลยุทธ์ Upselling และ Cross-sell
- เริ่มต้นด้วยการตลาดแบบจ่ายเงิน
- ทำคอนเทนท์ SEO ที่ให้ความรู้
- เปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้ามากขึ้น
ฐานลูกค้าของคุณเปรียบเสมือนสวน หากคุณดูแลลูกค้าของคุณอย่างดีจะสามารถเพิ่มประโยชน์ให้กับสิ่งที่พวกเขาได้รับ และคุณก็จะได้สิ่งตอบแทนกลับมาจากความพยายามทางการตลาดนี้ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าอาจรู้สึกคุ้มค่ามากจากสินค้าหลักของคุณ แต่จะได้รับประโยชน์เพิ่มจากการซื้อสินค้าซ้ำอีกครั้งหรือซื้อสินค้า Product Line อื่นๆ ของคุณ
ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำจะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วย เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าทำการซื้อครั้งที่สอง คุณจะไม่ต้องมาลงทุนในการดึงดูดพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาอาจแนะนำร้านของคุณให้กับเพื่อนที่มีรสนิยมคล้ายกัน
ลูกค้าซื้อซ้ำเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้วิธีการตลาดสินค้าออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การทำให้ลูกค้าซื้อซ้ำนั้นก็มีค่าใช้จ่าย เพราะคุณยังต้องลงทุนในพื้นที่ที่เหมาะสมและมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง แม้ว่าคุณจะสามารถโต้แย้งได้ว่า “ทุกอย่าง” มีศักยภาพในการมีส่งผลต่อการรักษาลูกค้า แต่มี 3 ปัจจัยหลักที่แบรนด์ควรใช้ในช่วงเริ่มต้น
3 ปัจจัยหลักในการรักษาลูกค้า
- สินค้า: ลูกค้าต้องการสินค้าที่ตรงตามความต้องการ นอกจากนี้ พวกเขายังมองหาสินค้าที่มีคุณภาพตามหรือเหนือความคาดหวัง ดังนั้น หากคุณพบสินค้าที่ขายดีและลูกค้าชื่นชอบ ให้พิจารณานำเสนอสินค้านั้นบนหน้าแรกของเว็บไซต์ โอกาสที่ลูกค้าที่ซื้อสินค้านั้นจะกลับมาซื้อซ้ำมีสูง
- ประสบการณ์ลูกค้า: การบริการลูกค้าที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย แต่หมายถึงการมอบสิ่งที่เหนือความคาดหวัง เพราะการให้บริการที่ดีก็อาจเป็นเพียงการช่วยเหลือเมื่อมีความจำเป็น หรือการเสนอการคืนสินค้าแบบฟรีให้กับทุกออเดอร์
- การตลาด: คุณจะต้องมีการตลาดที่เหมาะกับทั้งลูกค้าและช่วงเวลา กลยุทธ์ที่คุณอาจใช้ ได้แก่ โปรแกรมพันธมิตร, แคมเปญอีเมลดึงลูกค้าเก่า, Lifecycle Marketing, โปรแกรมสะสมคะแนน หรือโครงสร้างการเปิดตัวใหม่ที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
ตอนนี้ เรามาดูการตลาดการรักษาลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อเพิ่มความถี่ในการสั่งซื้อของลูกค้า คุณจะต้องมี แผนการตลาดเฉพาะและใช้กลยุทธตลาดสินค้าที่หลากหลาย
นำเสนอโปรแกรมสะสมคะแนน
การเสนอโปรแกรมสะสมคะแนน เป็นวิธีที่ดีในการมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับสมาชิก เพราะจากการวิจัย แสดงให้เห็นว่าการเข้าถึงโปรแกรมสะสมคะแนนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อ แม้จะมีแรงดึงดูดอื่น ๆ เช่น การบริการลูกค้าแบบส่วนบุคคล เข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม
โปรแกรมสะสมคะแนนสามารถเข้าร่วมได้ฟรี หรือมีค่าธรรมเนียมแบบครั้งเดียว หรือรายเดือน ตัวอย่างเช่น สมาชิกของร้านค้าอุปกรณ์กีฬา Altitude Sports ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกตลอดชีพ $34.99 (ประมาณ 1,176 บาท) สมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ส่วนลด 5% สำหรับสินค้าทุกชิ้น โปรโมชั่นพิเศษ และการคืนสินค้าฟรีได้ทุกออเดอร์
ในทางกลับกัน โปรแกรมสะสมคะแนนฟรีสามารถใช้ระบบคะแนน โดยที่ลูกค้าจะได้รับคะแนนต่อการซื้อและสามารถแลกคะแนนเหล่านั้นเป็นรางวัลในระดับต่าง ๆ หรือโปรแกรมรางวัลอื่น ๆ เช่น โปรแกรมจากร้านเสื้อผ้า Girlfriend Collective มีทั้งคะแนนและสิทธิประโยชน์ เช่น ส่วนลด
โปรแกรมสะสมคะแนนมีประสิทธิภาพ เพราะลูกค้ามีเหตุผลในการกลับมาซื้อซ้ำ เป็นโปรแกรมที่ลูกค้าเห็นประโยชน์ได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการใช้คะแนนที่สะสมเพื่อแลกรับของขวัญฟรี การจัดส่งฟรี หรือการได้รับส่วนลด
สร้างแคมเปญอีเมลเพื่อดึงลูกค้าเก่า
อีเมลเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้ซื้อที่มีความตั้งใจสูงที่เคยเยี่ยมชมร้านของคุณและทำการซื้อแล้ว นี่เป็นช่องทางที่เหมาะสมที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ การตลาดผ่านอีเมลยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงลูกค้าเก่ากลับมาที่ร้านที่อาจไม่ได้ซื้อสินค้านานแล้ว
หนึ่งในชุดอีเมลที่มีค่าในการสร้างกลยุทธ์การตลาดสินค้าของคุณคือแคมเปญดึงลูกค้าเก่า ซึ่งเป็นการตลาด Lifecycle Marketing ที่มุ่งเน้นการดึงดูดลูกค้าตามตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในเส้นทางของลูกค้า ในกรณีของแคมเปญดึงลูกค้าเก่า หมายถึงกลุ่มที่อยู่ในช่วงหลังการซื้อ ดังนั้นข้อความที่เหมาะสมที่สุดคือการกระตุ้นให้พวกเขากลับมาที่ร้านอีกครั้ง
ดรูว์ ซาโนคกี้ เรียกแคมเปญดึงลูกค้าเก่านี้ว่าการแย่บ 2 หมัด เป้าหมายคือการเปลี่ยนลูกค้าครั้งแรกให้กลายเป็นลูกค้าซื้อซ้ำ
นี่คือลักษณะของแคมเปญดึงลูกค้าเก่า
ระบุเป้าหมายแคมเปญอีเมลดึงลูกค้าเก่า
เป็นเรื่องปกติที่จะตั้งค่าแคมเปญอีเมลดึงลูกค้าเก่า เพื่อมุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่ซื้อครั้งแรก วิธีการคือหากลูกค้ากลุ่มไหนที่เคยซื้อครั้งแรกยังไม่ได้ทำการซื้อครั้งที่สองภายใน 30 วัน ให้คุณตั้งค่าส่งอีเมลออโต้ไปยังลูกค้ากลุ่มนั้น โดยหากอีเมลนี้ทำสำเร็จและลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง คุณก็จะต้องตั้งค่าอีเมลออโต้นี้ในอีกคำสั่งหนึ่ง (เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้กลับมาซื้อซ้ำแล้ว) โดยกลุ่มของอีเมลดึงลูกค้าเก่าควรแบ่งไว้ที่ 4 แบบ ดังนี้
อีเมลแบบที่ 1: แนะนำสินค้า
อีเมลแรกจะแจ้งให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับสินค้าอื่นที่พวกเขาน่าจะชอบ ตามการซื้อครั้งแรก โดยรายการนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันหลักข หรือคุณอาจต้องการสร้างความตื่นเต้นเกี่ยวกับสินค้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ซึ่งอีเมลแรกนี้จะไม่มีรหัสคูปอง แต่จะมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดหรือเตือนลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าอื่น ๆ ที่คุณมี
ดูตัวอย่างอีเมล #1 ในชุดแคมเปญดึงลูกค้ากลับจาก Outdoor Voices และ Really Good Emails
อีเมลแบบที่ 2: มอบรหัสโปรโมชั่น
ส่ง 30 วันหลังจากอีเมลแรก อีเมลที่สองจะเสนอโปรโมชั่นเบาๆ เช่น ส่วนลด 10% หรือการจัดส่งฟรีสำหรับออเดอร์ถัดไป
อีเมลแบบที่ 3: มอบส่วนลดที่สูงขึ้น
ส่ง 30 วันหลังจากอีเมลก่อนหน้า อีเมลที่สามจะเสนอโปรโมชั่นที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งก่อน เช่น จาก 15% อาจเป็นส่วนลด 25% หรือ 15% พร้อมการจัดส่งฟรี
ดูตัวอย่างข้อเสนอแคมเปญดึงลูกค้ากลับระดับสามจาก Outdoor Voices และ Really Good Emails
อีเมลแบบที่ 4: ส่งแบบสำรวจ
อีเมลนี้ควรตั้งค่าให้ส่ง 120 วันหลังจากที่ลูกค้าทำการซื้อครั้งแรก ซึ่งอาจรวมข้อเสนออื่น ๆ ลงไปด้วยได้ แต่เนื่องจากอีเมลนี้จะไม่ถูกส่งเป็นเวลาหลายเดือน จึงเป็นเวลาที่ดีในการถามลูกค้าว่ายังสนใจร้านของคุณอยู่หรือไม่ หากพวกเขาไม่สนใจอีกต่อไป คุณอาจรวมแบบสำรวจในอีเมลที่ถามว่าอะไรจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจและทำการซื้อ
แบบสำรวจเช่นนี้ช่วยให้คุณเข้าใจประสบการณ์ของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าคุณกำลังถามคำถามที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงแบรนด์ของคุณต่อไป
ดูตัวอย่างอีเมลดึงลูกค้าเก่าจาก Ritual และ Really Good Emails
อย่าลืมยกเลิกการสมัครสมาชิกผู้ใช้ที่ไม่เคลื่อนไหว
เมื่อสิ้นสุดทั้ง 4 ชุดอีเมล คุณควรยกเลิกการสมัครสมาชิกโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ที่เป็นลูกค้าที่ไม่เคลื่อนไหวหรือผู้ที่ไม่ได้เปิดอีเมลจากคุณในช่วง 60 วันที่ผ่านมา หากคุณเลือกที่จะส่งอีเมลสำรวจสุดท้ายเช่นเดียวกับที่กล่าวถึงข้างต้น คุณอาจเสนอให้ยกเลิกการสมัครสมาชิกแก่ผู้ที่เลือกตัวเลือกในเชิงลบมากกว่า
คุณไม่จำเป็นต้องใช้การตลาดผ่านอีเมลสำหรับแคมเปญดึงลูกค้าเก่า หากคุณเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด และหันไปใช้ตัวเลือกอื่น ๆ เช่น ป๊อปอัปบนเว็บไซต์ สื่อที่จ่ายเงิน หรือโปสการ์ดทางไปรษณีย์ อะไรก็ตามที่คุณคิดว่าจะดึงดูดลูกค้าเก่าของคุณได้มากที่สุด
ส่งรหัสคูปองสมัครสมาชิกทางอีเมลหรือ SMS
อีกหนึ่งกลยุทธ์การรักษาลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ คือการเสนอโปรโมชั่นสำหรับการสมัครสมาชิกในรายการการตลาดทางอีเมลและ SMS นี่เป็นวิธีที่ดีในการดึงดูดลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าที่มีศักยภาพ (ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นการตลาด SMS ได้อย่างไร? ลองใช้ปลั๊กอิน Postscript ของ Shopify)
เพื่อดึงดูดความสนใจเกี่ยวกับรายการส่งจดหมาย ให้พิจารณาใช้ป๊อปอัปที่เปิดใช้งานเมื่อมีคนเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ดึงดูดให้พวกเขาสมัครโดยเสนอโปรโมชั่นพิเศษที่จะได้รับเฉพาะเมื่อสมัครสมาชิกทางอีเมล SMS หรือทั้งสองอย่าง ข้อเสนอโปรโมชั่นนี้อาจเป็นการจัดส่งฟรีหรือส่วนลด 10% สำหรับการสั่งซื้อครั้งแรก เมื่อใครบางคนเลือกเข้าร่วมในรายการส่งจดหมายของคุณ ไม่เพียงแต่คุณจะสามารถติดต่อพวกเขาได้ทันที แต่พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะทำการซื้อด้วยโปรโมชั่นที่คุณเพิ่งมอบให้
แหล่งข้อมูลจาก การตลาด SMS พร้อม 4 ตัวอย่างน่าลอง
เปิดตัวสินค้าใหม่ตามกำหนดเวลา
หากคุณกำลังมองหาแนวคิดในการตลาดสินค้าใหม่ ให้พิจารณากำหนดวันเปิดตัวสินค้าในวันเดียวกันทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน หากลูกค้าของคุณรู้วันที่จะมีการเปิดตัวใหม่ โอกาสที่พวกเขาจะเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเพื่อดูว่ามีอะไรใหม่ หรืออย่างน้อยก็มีแนวโน้มที่จะเปิดอีเมลนี้
Mejuri เว็บไซต์ขายเครื่องประดับชีวิตประจำวัน เปิดตัวสินค้าใหม่ที่มีธีมการออกแบบทุกสัปดาห์เพื่อทำให้ลูกค้าคอยเช็คไอเทมใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
สำหรับลูกค้าที่อยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็นแฟนตัวยงของแบรนด์นั้น จะสร้างความตื่นเต้นให้กับการดูสิ่งใหม่ในทุกสัปดาห์ “Monday Drop” ใหม่แต่ละรายการจะถูกนำเสนอในหน้าแรกของเว็บไซต์และในอีเมลประกาศที่ส่งตรงเวลา
สร้างโมเดลการสมัครสมาชิก
แม้ว่าการเสนอการสมัครสมาชิกสินค้าของคุณอาจฟังดูไม่เหมือนการตลาด แต่การให้ลูกค้าสมัครสมาชิกถือเป็นการตัดสินใจทางการตลาด การสร้างวิธีการให้ลูกค้าสมัครสมาชิกจะทำให้สินค้าของคุณกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน การสร้างโมเดลธุรกิจการสมัครสมาชิกอาจใช้เวลามากกว่าแนวทางการตลาดอื่น ๆ แต่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำและรายได้ที่มั่นคง
หากสินค้าของคุณต้องการการเติมเต็ม คุณสามารถสร้างโมเดลการสมัครสมาชิกที่ต่ออายุโดยอัตโนมัติตามกำหนดเวลา ด้วยวิธีนี้ ลูกค้าจะไม่ต้องเข้าชมร้านค้าของคุณ หรือแม้แต่จำได้ว่าของที่ใช้อยู่กำลังหมดลง ตัวอย่างเช่น Fresh Patch ขายแผ่นหญ้าที่ปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง บริษัทนี้เห็นรายได้รวม 80% มาจากการสมัครสมาชิก
ในทางกลับกัน หากบริษัทของคุณไม่สามารถให้การเติมเต็มได้ คุณสามารถเสนอให้ลูกค้าสมัครสมาชิกสินค้าที่เป็นชุดรายเดือน Package Free ขายสินค้าดูแลบ้านและร่างกายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แบรนด์นี้อนุญาตให้ลูกค้าสร้างชุดการสมัครสมาชิกจากสินค้าที่มีให้เลือกมากมาย
ใช้ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน และโหมดให้เป็นประโยชน์
การเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น และมันง่ายกว่าที่คุณคิด เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพด้านมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV) คุณต้องเข้าใจค่าเฉลี่ย มัธยฐาน และโหมดของคำสั่งซื้อของคุณ รวมถึงวิธีการทำ Upselling และ Cross-selling
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจคำศัพท์ที่คุณอาจไม่เคยเห็นตั้งแต่เรียนคณิตศาสตร์ชั้นประถมกัน
- ค่าเฉลี่ย: มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV แบบดั้งเดิม)
- มัธยฐาน: ตัวเลขกลางของมูลค่าการสั่งซื้อทั้งหมด
- โหมด: มูลค่าการสั่งซื้อที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด
มาดูค่าเฉลี่ย มัธยฐาน และโหมดของคำสั่งซื้อในร้านทดลองของเรา Kinda Hot Sauce กัน
จากกราฟที่แสดง ค่าเฉลี่ยของมูลค่าการสั่งซื้อ (หรือ AOV) คือ $24 (ประมาณ 808 บาท) อย่างไรก็ตาม โหมดของมูลค่าการสั่งซื้อนั้นอยู่ที่ $15 (ประมาณ 505 บาท) แม้ว่าโหมดอาจต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ตัวเลขโหมดแสดงถึงการเป็นตัวแทนที่แม่นยำมากที่ขึ้นของคำสั่งซื้อของคุณ นั่นเป็นเพราะค่าเฉลี่ยสามารถถูกบิดเบือนโดยยอดการซื้อที่ต่ำหรือสูง เมื่อเราคิดเกี่ยวกับการเพิ่ม AOV การมองที่โหมดจะบอกข้อมูลที่สำคัญกว่า นั่นคือหมายเลขที่เราต้องการเพิ่มขึ้น
เป็นเรื่องปกติสำหรับธุรกิจที่จะเสนอการจัดส่งฟรีที่สูงกว่ามูลค่าการสั่งซื้อที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดเพื่อเพิ่ม AOV ตัวอย่างเช่น เนื่องจาก $15 เป็นมูลค่าการสั่งซื้อที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดที่ Kinda Hot Sauce เราอาจเสนอการจัดส่งฟรี สำหรับคำสั่งซื้อที่เกิน $25 (ประมาณ 841 บาท)
พัฒนากลยุทธ์ Upselling และ Cross-selling
การเสนอการจัดส่งฟรีอาจไม่เหมาะกับธุรกิจของคุณ แต่คุณสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดสินค้าออนไลน์อื่น ๆ เช่น การ Upselling และ Cross-selling เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าของคำสั่งซื้อโดยรวม
- Cross-selling คือการเชิญชวนให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่เสริม โดยการเสนอขายข้ามจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อมีลูกค้ากำลังดูตะกร้าสินค้า (คล้ายกับทางเดินที่มีสินค้าซื้อกระตุ้นในร้านค้าจริง ซึ่ง SellUp เป็นแอป Shopify ที่ดีสำหรับครอสเซลลิ่ง)
- Upselling คือการกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่คล้ายกันซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า การขายเพิ่มจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในหน้าสินค้า ก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
การขายข้ามและการขายเพิ่มมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่า เมื่อคุณมีสินค้าที่น่าสนใจ ลูกค้าประมาณ 10% ถึง 20% ยินดีที่จะใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าเฉลี่ย เป้าหมายของคุณคือการเข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไร เพื่อที่คุณจะเสนอสินค้าและการปรับปรุงเหล่านั้น จากนั้นคุณสามารถใช้เครื่องมือในการทำให้การขายเพิ่มและการขายข้ามเป็นอัตโนมัติ หรือคุณสามารถโฆษณาสินค้าผ่านวิธีการอื่น ๆ เช่น อีเมล โทรศัพท์ หรือแชทสด
การดึงดูดลูกค้าใหม่แบบดั้งเดิม ใช้วิธีการต่าง ๆ รวมถึง
- โฆษณาบนโซเชียลมีเดียแบบจ่ายเงิน
- การตลาดคอนเทนท์
- การปรับแต่ง SEO
- การประกาศข่าว PR
- การตลาดผ่านอินฟลูฯ
- การเพิ่มคอนเวิร์สชัน
- รหัสโปรโมชั่นเมื่อสมัครรับอีเมล
ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด คุณจะต้องมุ่งการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากขึ้น
เริ่มต้นด้วยการตลาดแบบจ่ายเงิน
การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียที่จ่ายเงินและการตลาดผ่าน Influencer ทั้งสองเป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ เพราะพวกเขาสามารถช่วยคุณเช็คสินค้าและขยายการตลาดอย่างคุ้มค่า
คุณเคยเห็นอินฟลูเอนเซอร์มีผู้ติดตามจำนวนมาก โพสต์เกี่ยวกับสินค้าที่ชอบและเสนอรหัสส่วนลดเฉพาะสำหรับผู้ติดตามหรือไม่? นั่นคือการตลาดผ่านอินฟลูฯ และมันได้กลายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก
และนี่คือเบื้องหลังระบบการตลาดอินฟลูเอนเซอร์: แบรนด์จะติดต่ออินฟลูเอนเซอร์ที่คิดว่าน่าจะชอบสินค้านั้นๆ แล้วนำเสนอสิ่งตอบแทนให้กับอินฟลูฯ เพื่อให้ทำคอนเทนท์พูดคุยเกี่ยวกับสินค้าในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของพวกเขา อาจเป็นจำนวนเงิน แต่หลายแบรนด์จะเสนอสินค้าจำนวนหนึ่งให้กับอินฟลูเอนเซอร์ฟรี
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการตลาดอินฟลูเอนเซอร์บน Instagram คู่มือฉบับสมบูรณ์ 2025
อินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับค่าตอบแทนจะพูดถึงสินค้าในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของพวกเขาตามจำนวนครั้งที่ตกลงกัน คุณสามารถขอให้อินฟลูเอนเซอร์โพสต์เกี่ยวกับสินค้าของคุณสองครั้งใน Instagram หรือคุณอาจตกลงที่จะโพสต์หนึ่งครั้งใน Instagram และอีกหนึ่งครั้งใน Instagram Story ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณและสิ่งที่คุณคิดว่าจะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด หากกลุ่มเป้าหมายของคุณชื่นชอบอินฟลูเอนเซอร์ในช่องของคุณ การจ่ายเงินให้อินฟลูเอนเซอร์โปรโมทสินค้าของคุณอาจเป็นชัยชนะทางการตลาดที่ยิ่งใหญ่
ที่ Glossier ใช้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์โพสต์คอนเทนท์เกี่ยวกับลิปกลอสบน Instagram ด้วยการใช้โปรแกรม Affiliate
คุณยังสามารถใช้วิธีการแบบดั้งเดิมและจ่ายเงินให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Instagram หรือ Pinterest เพื่อให้โชว์โฆษณาให้ลูกค้าเห็น โดยตั้งค่าโฆษณาโซเชียลด้วยตัวเอง หรือจ้างเอเจนซี่ที่สามารถช่วยคุณออกแบบโฆษณา เขียนคอนเทนท์ และวางโฆษณาในช่องทางที่พวกเขาคิดว่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
ทำคอนเทนท์ SEO ที่ให้ความรู้
นี่คือการเล่นเกมระยะยาว ด้วยช่องทางเช่นการตลาดคอนเทนท์และการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา (SEO) ซึ่งการตลาดคอนเทนท์ คือการใช้เครื่องมือที่เป็นธรรมชาติ (แบบไม่ต้องจ่ายเงิน) เช่น บล็อกโพสต์ วิดีโอ โซเชียลมีเดีย พอดแคสต์ หรืออีเมล เพื่อให้ความรู้แก่ตลาดเป้าหมาย โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นไปที่หัวข้อเฉพาะกลุ่ม
เป้าหมายของคุณในการทำการตลาดคอนเทนท์ ซึ่งก็คือการปรับแต่งคอนเทนท์ของคุณให้ติดอันดับในหน้าแรกในการค้นหาของ Google เพื่อเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ การสร้างเนื้อหาคือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ผลประโยชน์จะทบต้นเมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่การเข้าชมที่ได้จากการซื้อโฆษณาจะหายไปเมื่อคุณหยุดจ่ายเงิน การเข้าชมแบบธรรมชาติจากการตลาดคอนเทนท์สามารถสร้างการเติบโตที่น่าทึ่งได้ หากคุณทำได้ดี
ตัวอย่างเช่น Four Sigmatic บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านกาแฟที่ไม่มีอาการเมา โดยบริษัทได้ลงทุนด้านเวลาไปมากในการให้ความรู้แก่ลูกค้า ด้วยเหตุนี้ แบรนด์นี้จึงได้รับการเข้าชมจากการค้นหาแบบธรรมชาติเป็นจำนวนมาก
เปลี่ยนผู้เข้าชมให้มากขึ้น
คุณอาจมีการอัตราเข้าชมที่มั่นคง ดังนั้นแทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดการเข้าชมมากขึ้น คุณควรมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนผู้เข้าชมที่คุณมีอยู่ในขณะนี้ นี่เรียกว่า การเพิ่มอัตราการแปลง (CRO)
CRO ง่ายต่อการทำให้อัตโนมัติ ราคาถูกกว่าการซื้อการเข้าชม และช่วยปรับปรุงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของการวางโฆษณาที่จ่ายเงินของคุณ ลองคิดในแง่นี้ว่าคุณกำลังใช้กรวยเพื่อเติมน้ำสบู่ในภาชนะ แต่กรวยมีรูหลายรูด้านข้าง ซึ่งทำให้สบู่ไหลออกไปมาก ลูกค้าของคุณอาจประสบปัญหาเดียวกัน ดังนั้นแทนที่จะซื้อสบู่เพิ่ม ก็ใช้วิธีซ่อมกรวยให้น้ำไม่รั่วแทน
เริ่มต้นด้วยการอุดรูรั่วในกระบวนการชำระเงินของคุณด้วย Shop Pay
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตลาดสินค้า
จะทำการตลาดสินค้าใหม่ได้อย่างไร?
ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีความต้องการในตลาดสำหรับสินค้านั้นๆ เริ่มต้นด้วยการตลาดแบบจ่ายเงิน แนะนำการตลาดแบบออร์แกนิก เช่น SEO และการตลาดคอนเทนท์ผ่านบล็อกโพสต์ วิดีโอ โซเชียลมีเดีย พอดแคสต์ หรืออีเมล และเปลี่ยนผู้เข้าชมในเว็บไซต์ของคุณให้มากขึ้น
จะดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าได้อย่างไร?
- นำเสนอโปรแกรมสะสมคะแนน
- สร้างแคมเปญอีเมลเพื่อชวนให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
- ส่งรหัสคูปองสมัครสมาชิกทางอีเมลหรือ SMS
- เปิดตัวสินค้าใหม่ตามกำหนดเวลา
- สร้างโมเดลการสมัครสมาชิก
- ใช้ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน และโหมดให้เป็นประโยชน์
- พัฒนากลยุทธ์ Upselling และ Cross-sell
- เริ่มต้นด้วยการตลาดแบบจ่ายเงิน
- ทำคอนเทนท์ SEO ที่ให้ความรู้
- เปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้ามากขึ้น
จะทำการตลาดสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์หลัก 3 ประการ
- เพิ่มจำนวนการซื้อโดยรวมต่อผู้ซื้อ
- เพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV)
- เพิ่มจำนวนลูกค้าทั้งหมด