การเขียนบล็อกเป็นแนวคิดการทำธุรกิจขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแบรนด์ของคุณเอง การได้รับค่าคอมมิชชั่นจากโปรแกรมพันธมิตรหรือการสร้างพื้นที่สำหรับการขายโฆษณาดิจิทัล
คู่มือนี้จะแชร์วิธีทำเงินจากการเขียนบล็อก พร้อมด้วย 11 ช่องทางที่บล็อกเกอร์มืออาชีพใช้ในการสร้างรายได้เต็มเวลา
บล็อกเกอร์ทำเงินได้เท่าไหร่?
การเขียนบล็อกมีศักยภาพสูง บล็อกเกอร์ดังๆ อย่าง Ryan Robinson ซึ่งทำบล็อกเกี่ยวกับการเขียนบทความ สามารถทำเงินได้มากกว่า 30,000 ดอลล่าห์ต่อเดือน (ประมาณกว่า 100,000 บาท) โดย Adam Enfroy ผู้เริ่มเขียนบล็อกเกี่ยวกับธุรกิจการเขียนบล็อกในฐานะงานเสริมสามารถสร้างรายได้ถึง 1.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 500 ล้านบาท) จากบล็อกของเขาในเวลาเพียง 2 ปี
ไม่ใช่แค่รายได้รายเดือนที่บล็อกเกอร์สามารถทำได้ เพราะตลาดอย่าง Flippa ยังมีบล็อกให้ขาย ซึ่งหลายบล็อกซื้อขายกันในระดับหกหลัก บล็อกเกอร์สามารถทำเงินได้ เมื่อใดก็ตามที่มีคนซื้อโปรเจคท์งานสร้างสรรค์ที่พวกเขาทำขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่บล็อกเกอร์ทุกคนที่จะทำเงินได้หลายล้านจากเว็บไซต์ของตัวเอง เพราะศักยภาพในการสร้างรายได้จากบล็อกของคุณขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย ได้แก่
- กลุ่มเป้าหมาย ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณหรือไม่? ซอฟต์แวร์เป็นตัวอย่างที่ทำกำไรได้ เนื่องจากหลายบริษัทจ่ายค่าคอมมิชชั่นแบบรายเดือน ส่วนบล็อกเกอร์เองก็สามารถทำเงินได้เล็กน้อยทุกเดือน แม้ว่าลูกค้าจะทำการซื้อแล้วก็ตาม
- กลยุทธ์สร้างรายได้ วิธีการสร้างรายได้บางแบบอาจไม่เหมาะกับบล็อกเกอร์มือใหม่ เช่น การไม่รับเงินเพื่อรีวิวหรือโพสต์คอนเท้นท์ที่คุณไม่เคยใช้สินค้าหรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนั้นๆ เพราะสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการสร้างรายได้ในระยะยาว
11 แนวคิด วิธีทำเงินจากการเขียนบล็อก
- เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ทำกำไรได้
- สร้างลิสต์อีเมล
- เขียนรีวิวสินค้าที่มีสปอนเซอร์
- ขายพื้นที่โฆษณาบนบล็อก
- เข้าร่วมโปรแกรม Affiliate
- เสนอบริการเสริม
- ขายสินค้าดิจิทัล
- ขายสินค้าจริง
- สร้างคอมมูนิตี้สมาชิก
- สร้างรายได้จาก YouTube
- ผลิตพอดแคสต์และหาสปอนเซอร์
1. เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ทำกำไรได้
กลุ่มเป้าหมาย คือหัวข้อย่อยในภาพใหญ่ เช่น สูตรอาหารมังสวิรัติ โดยการเลือกกลุ่มเป้าหมายสำหรับบล็อกของคุณ ผู้อ่านจะสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์ และรู้ว่าพวกเขาจะได้รับอะไรเมื่อเข้ามาที่นี่ ซึ่งจุดนี้สามารถเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะเป็นแหล่งข้อมูลแรกที่พวกเขานึกถึงเมื่อต้องการไกด์หรือคำแนะนำ
“ก่อนที่จะเริ่มสร้างรายได้ ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณภาพและความเชี่ยวชาญต้องโดดเด่น” Mushfiq ผู้ก่อตั้ง The Website Flip กล่าว “ก่อนอื่นให้ระบุว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร และทำไมคุณถึงควรเขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้น และสร้าง บุคลิกของตัวเองเพื่อสร้างตัวตนในหัวข้อนั้น จากนั้นคุณจะมีผู้ติดตามระยะยาว การสร้างรายได้จะตามมาในภายหลัง”
จะเห็นได้ว่าบล็อกเกอร์ทำเงินได้จากหลายกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจ ไปจนถึงอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง
กลุ่มเป้าหมายที่ทำกำไรได้มี 3 เกณฑ์ให้พิจารณา ได้แก่
- เป็นสิ่งที่คุณมีทักษะและหรือสนใจ บล็อกต้องการเนื้อหาคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคอมมูนิตี้และสร้างรายได้ ดังนั้นการเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ จะทำให้คุณมีความสุข และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ได้ง่ายขึ้น
- เลือกหัวข้อที่มีการแข่งขันต่ำ บล็อก แบรนด์ หรือฟอรัมดังๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกับคุณ หมายความว่าตอนนี้มีบล็อกเกอร์อื่นๆ ที่กำลังทำเงินจากหัวข้อหรือวงการนี้ เช่นเดียวกันกับการหาคำหลักใน Google เพื่อประเมินความยากในการจัดอันดับ หากแบรนด์ใหญ่ (ที่มีงบการตลาดมากกว่า) ครองหน้าแรกของผลการค้นหา การดึงดูดการเข้าชมที่เป็นธรรมชาติ (Organic Search) ก็จะยากขึ้นตามไปด้วย
- มีศักยภาพในการสร้างรายได้ที่ชัดเจน ดูโอกาสในการสร้างรายได้ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น ธุรกิจนั้นๆ มีการลงทุนโฆษณาสินค้าให้กับบล็อกเกอร์อื่นๆ หรือไม่ หรือสินค้านั้นๆ เปิดโปรแกรมพันธมิตรด้วยมั้ย? ทั้งสองเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงกลุ่มเป้าหมายที่ทำกำไรได้
2. สร้างลิสต์อีเมล
ในการทำเงินจากบล็อก คุณต้องมีแฟนที่ยอมรับในคอนเท้นท์ของคุณ
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนี้คือการสร้างรายชื่ออีเมลกลุ่มเป้าหมาย เมื่อมีคนสมัครรับข้อมูลจากบล็อก คุณจะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงผู้อ่านอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือการสื่อสารผ่านอีเมล
“การตลาดอีเมลเป็นช่องทางการขายที่ทำกำไรได้มากที่สุดสำหรับฉัน ฉันไม่พยายามขายโดยตรงจากช่องทางอื่นอีกต่อไป แต่จะเน้นไปที่รายชื่ออีเมลที่ได้จากโซเชียลมีเดีย คอลแลปฯ และ SEO” Brittany Berger ผู้ก่อตั้ง Work Brighter กล่าว
ผลักดันให้คนอ่านบล็อกกดสมัครสมาชิกโดยใช้กล่องป๊อปอัพ โดยเป้าหมายคือการทำให้ผู้ที่เข้าชมเป็นครั้งแรกอยากสมัครรับข้อมูลจากคุณด้วยการใช้สิ่งจูงใจ เช่น
- โหลดคอนเท้นท์ฟรี
- ลิสต์แหล่งข้อมูลหรือสินค้าแนะนำ
- สิทธิ์อ่านบล็อกพิเศษ เฉพาะ VIP
เมื่อกลุ่มเป้าหมายลงทะเบียนแล้ว ให้คุณรักษาความสัมพันธ์นั้นด้วยคอนเท้นท์ที่ให้ความรู้และความบันเทิง สร้างผู้ชมที่พร้อมจะซื้อสินค้าจากคำแนะนำของคุณ
ยกตัวอย่างจาก Lily Ugbaja เจ้าของบล็อก FindingBalance.Mom “เพราะเราต้องการอยู่บ้านกับลูก ทำในสิ่งที่รัก และทำเงินได้”
เธอใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ในการทำเงินจากบล็อก “เราใช้การตลาดผ่านอีเมลเพื่อโปรโมตสินค้าของเราเอง รวมถึงสินค้าของสปอนเซอร์ ผ่านการใช้กลยุทธ์ต่างๆ และกลุ่ม Facebook เพื่อเป็นการพาผู้ชมเข้ามาในเว็บไซต์และสมัครสมาชิกหลังจากอ่านบทความ และแทนที่จะเป็นหน้าโฆษณาแบบสำเร็จรูป เราสามารถเสนอโปรโมชั่นพิเศษ เช่น การสมัครสมาชิกที่ทั้งราคาถูก และมีส่วนลดเยอะ ซึ่งในกรณีของฉันคือการสมัครสมาชิกด้วยเงิน 7 ดอลล่าห์ (230 บาท)”
แม้ว่าบล็อกจะมีการเข้าชมหน้าไม่ถึง 1,000 ครั้งต่อเดือน แต่ Lily กล่าวว่าเธอสามารถทำเงินได้มากกว่า 100 ดอลล่าห์ (ประมาณ 3,300 บาท) ในเดือนแรก ซึ่งต่อมาเพิ่มขึ้นเป็นหลายพันดอลลาร์ (หลักแสนบาท)
คุณยังสามารถเรียกเก็บเงินจากสมาชิกที่รับจดหมายข่าวทางอีเมล สำหรับการเข้าถึงเนื้อหาพิเศษโดยเฉพาะ อย่างที่บล็อกเกอร์หลายคนทำ วิธีนี้คือการสร้างรายได้ผ่านค่าธรรมเนียมสมาชิกรายเดือนที่ให้สมาชิกเข้าถึงคอนเทนท์พิเศษ โดยสามารถใช้แพลตฟอร์มอย่าง Substack เพื่อแชร์คอนเท้นท์โดยตรงไปยังผู้ชม และรับเงินจากการสมัครสมาชิก
3. เขียนรีวิวสินค้าที่มีสปอนเซอร์
ไม่ว่าธุรกิจไหนก็ต้องการ Social Proof เพื่อแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้านั้นคุ้มค่าที่จะซื้อ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่เจ้าของธุรกิจใช้คือการจ่ายเงินให้บล็อกเกอร์เพื่อทำรีวิว
ติดต่อแบรนด์ที่คุณชื่น และสอบถามว่าพวกเขาสนใจสนับสนุนการรีวิวในบล็อกของคุณหรือไม่ หากคุณใช้สินค้าที่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ในการรีวิว เทคนิคนี้แทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะคุณเพียงแค่ได้รับเงินเพื่อแชร์รีวิวสินค้าที่ใช้อยู่แล้ว
คุณต้องเข้าใจแนวทางของคนทำอีคอมเมิร์ซ และรู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงยอมจ่ายเงินให้คุณทำรีวิวในฐานะสปอนเซอร์
หลีกเลี่ยงการทำให้บล็อกตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดี เช่น
- บอกกับคนอ่านว่าคุณได้รับค่าตอบแทน หากคุณได้รับเงินจากการเขียนรีวิว ให้ระบุที่ช่วงต้นของบทความว่า “ผมได้รับค่าตอบแทนจากการรีวิว และอาจได้รับคอมมิชชั่นหากคุณซื้อสินค้านี้”
- รีวิวอย่างตรงไปตรงมา แชร์ทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อช่วยให้ผู้อ่านตัดสินใจอย่างมีข้อมูลว่าพวกเขาควรซื้อสินค้าที่คุณกำลังรีวิวหรือไม่
4. ขายพื้นที่โฆษณาบนบล็อก
บริษัทที่ทำธุรกิจยินดีจ่ายเงินให้บล็อกเกอร์สำหรับพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ ให้พื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งานแลกกับค่าธรรมเนียม
มี 2 วิธีในการสร้างรายได้สำหรับบล็อกของคุณ คือ
- เจรจากับบริษัทแต่ละราย ค้นหาบริษัทที่มีกลุ่มเป้าหมายตรงกับคุณ และสอบถามว่าสนใจโฆษณาบนบล็อกของคุณหรือไม่ วิธีนี้ต้องใช้เวลา และคุณจะต้องมีทักษะการเจรจาที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าทำได้ดี จะสามารถสร้างรายได้มากที่สุด
- ใช้เครือข่ายโฆษณา หากคุณชอบวิธีที่ไม่ยุ่งยาก แพลตฟอร์มอย่าง Google AdSense, Mediavine, และ Raptive (เดิมชื่อ AdThrive) จะเป็นตัวช่วยจัดการพื้นที่ในบล็อก พร้อมเรียกเก็บเงินจากผู้ลงโฆษณา เพียงแค่ฝังโค้ดในเว็บไซต์ของคุณและรับเงินจากการค่าเช่าพื้นที่โฆษณา
สำหรับ Emily Brookes บล็อกเกอร์ Emily May กล่าวว่า “รายได้ประมาณ 60% ของบล็อกที่ทำอยู่ มาจากโฆษณาแบบแสดงผล” เธอกล่าว “โฆษณาทำให้มีรายได้ต่อเนื่องทุกเดือน แม้ว่าจะไม่ได้เผยแพร่คอนเทนท์ใหม่เลยก็ตาม”
เพื่อทำให้การโฆษณาเป็นช่องทางรายได้ที่สำคัญสำหรับบล็อกของคุณการขับเคลื่อนการเข้าชมเว็บไซต์จึงเป็นส่วนที่ควรให้ความสำคัญ
เครือข่ายโฆษณาอย่าง Google AdSense จะจ่ายเงินตามจำนวนการแสดงผล (CPM) โดย CPM เฉลี่ยสำหรับการลงโฆษณาอยู่ที่ประมาณ $1.25 (ประมาณ 42 บาท) ซึ่งยิ่งมีผู้คนเห็นโฆษณาบนบล็อกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งทำเงินได้มากขึ้น
Afoma Umesi ทำบล็อกหนังสือ Reading Middle Grade เป็นงานเสริม “ฉันไม่มีประสบการณ์และเริ่มเขียนบล็อกเป็นงานอดิเรก ก่อนที่จะตัดสินใจสร้างรายได้จากเว็บไซต์อย่างจริงจัง” เธอกล่าว
“ตอนนั้นเราต้องการรายได้ที่เป็นแบบพาสซีฟ เลยเลือกโฆษณาและลิงก์ Affiliate เพราะไม่ได้ต้องการสร้างหรือขายสินค้าและบริการดิจิทัล และก็ไม่ชอบโพสต์สปอนเซอร์ ดังนั้นโฆษณาจึงเหมาะสมที่สุด และสิ่งที่ต้องการก็คือยอดของคนที่เข้ามาดูบล็อก”
Reading Middle Grade ได้รับรายได้ประมาณ 3 ใน 4 จากการโฆษณาประเภทนี้ Afoma กล่าวว่า “อย่ากลัวหรืออายที่จะใช้โฆษณา เพราะถึงแม้ว่าจะไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้บางคน แต่ถ้าคุณให้คุณค่าและใช้มันอย่างสมเหตุสมผล ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะไม่สังเกตเห็นโฆษณาเลยด้วยซ้ำ”
5. เข้าร่วมโปรแกรม Affiliate
การตลาดแบบพันธมิตร คือกระบวนการแนะนำสินค้าให้กับผู้ชมบล็อก และรับค่าคอมมิชชั่นเมื่อมีคนซื้อสินค้าโดยใช้ลิงก์เฉพาะของคุณ
นี่เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่ดีสำหรับบล็อกเกอร์ เนื่องจากเนื้อหาที่คุณแชร์จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของคนอ่านอยู่แล้ว การทำให้บล็อกของคุณเป็นศูนย์กลางคอนเทนท์ที่ให้ความรู้ ทำให้คุณมีความสามารถสร้างความรู้สึกไว้วางใจที่จำเป็นในการขาย
ข้อดีของการตลาดแบบพันธมิตรคือคุณไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าของตัวเอง เชื่อมต่อกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีอยู่และทำหน้าที่เหมือนพนักงานขาย VR และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการผลิต วัสดุการตลาด การจัดส่ง หรือการบริการลูกค้า
ในการทำเงินจากการเขียนบล็อกด้วยวิธีนี้ แนะนำให้เข้าร่วมเครือข่ายพันธมิตร เช่น ShareASale หรือ ClickBank ค้นหาโปรแกรมที่มีอยู่ในธุรกิจของคุณ สมัครเข้าร่วม สร้างลิงก์ Affiliate และคอยเช็ครายได้จากพันธมิตรผ่านแดชบอร์ดสมาชิก
คุณยังสามารถค้นหาโปรแกรมพันธมิตรค่าคอมสูง จากผู้ค้าที่ขายสินค้าราคาแพง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับ หรือซอฟต์แวร์ วิธีนี้เป็นช่องทางที่ทำให้บล็อกเกอร์รับค่าคอมฯ จำนวนมากจาก Shopify Affiliates ตัวอย่างเช่น 7.จะได้รับค่าคอมมิชชั่น 100% สำหรับการชำระเงิน 2 ครั้งแรกของการสมัครแพคเกจสมาชิก
6. เสนอบริการเสริม
ผลพลอยได้จากการสร้างผู้ชม หมายความว่ามีผู้คนมากขึ้นที่รู้จักบล็อกที่คุณเขียน ซึ่งนี่เป็นวิธีที่ดีในการสร้างคอนเทนท์ที่ทรงพลัง อันเป็นสิ่งที่ผู้คนมองหาเมื่อจ้างคนทำบริการ
“หากคุณอยู่ใน พื้นที่ B2B อย่างฉัน การให้คำปรึกษาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ” Mushfiq ผู้ก่อตั้ง The Website Flip กล่าว “หากคุณเชี่ยวชาญและมีคนอ่านคอนเท้นท์ของคุณอย่างจริงจัง ลองนึกดูว่าคุณจะให้คำปรึกษาในด้านใดได้บ้าง? และนี่เป็นวิธีสร้างรายได้ที่ดี โดยไม่ต้องทุ่มเทกับการเขียนบล็อก”
แม้ว่าการนำเสนอบริการอาจต้องใช้เวลามาก แต่ก็สามารถเป็นวิธีที่รวดเร็วในการทำเงินออนไลน์ เพราะคุณสามารถเรียกเก็บอัตราค่าบริการรายชั่วโมงที่สูงขึ้น และหาลูกค้าที่มีความสามารถในการจ่ายสูง โดยใช้คอนเทนท์บล็อกของคุณเป็นช่องทางการในการโชว์ความเป็นมืออาชีพ
ตัวอย่างของบริการที่คุณสามารถขายร่วมกับบล็อกได้ คือ
- บริการให้คำปรึกษา
- ออกแบบกราฟิก
- การเขียนอิสระ
- ผู้ช่วยเสมือน VR
- สอนหรือจัดเวิร์กช็อป
ประหยัดเวลาในการนัดหมายและรับชำระเงินด้วยแอปอย่าง Acuity และ Calendly โปรโมตบริการของคุณผ่านบล็อก ไม่ว่าจะเป็นหน้าแลนดิ้งแบบสแตนด์อโลน หรือโฆษณาแสดงในแถบด้านข้าง
7. ขายสินค้าดิจิทัล
สินค้าดิจิทัล เป็นวิธีที่สามารถขยายธุรกิจและทำเงินได้ควบคู่ไปกับบล็อก ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจที่ให้บริการ เพราะคุณไม่ต้องแลกเปลี่ยนเวลาเพื่อเงิน และก็ต่างจากการขายสินค้าจริง เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ส่งหรือการผลิต
คุณสามารถสร้างสินค้าดิจิทัลหนึ่งครั้งและขายได้ไม่จำกัดจำนวนผ่านบล็อก ซึ่งนี่เป็นที่มาของคำว่า “สร้างครั้งเดียว ขายได้หลายครั้ง”
“ผมตัดสินใจเพิ่มสินค้าที่พิมพ์ได้และสินค้าดิจิทัลอื่นๆ เพื่อควบคุมและกระจายช่องทางหารายได้” Dylan Houlihan ผู้ก่อตั้ง Swift Salary กล่าว “จนถึงตอนนี้ ผมให้ผู้อ่านตัดสินใจว่าอยากซื้อสินค้าที่พิมพ์ได้ของผมเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมตัวเลขรายได้จึงไม่สูงมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 800 ครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมภูมิใจในเรื่องนี้”
ค้นหาว่าสินค้าดิจิทัลแบบไหนที่คนจะซื้อ โดยใช้แบบสำรวจความพอใจจากผู้อ่าน โดยใช้คำถามว่า “ปัญหาไหนที่คุณยังต้องการความช่วยเหลือ แต่บล็อกยังทำให้ไม่ได้?” คำตอบที่ได้จะไกด์แนวคิดที่คุณสามารถใช้ได้ เช่น
- e-Books
- ผลิตภัณฑ์ที่พิมพ์ได้
- เวิร์กบุ๊ก
- หลักสูตรออนไลน์
Benjamin Houy ผู้ทำบล็อก French Together เต็มเวลามาเป็นเวลาประมาณ 10 ปี กลยุทธ์การสร้างรายได้ของบล็อกนี้รวมถึงสินค้าดิจิทัล โดยเฉพาะหลักสูตรภาษาฝรั่งเศสซึ่งสร้างรายได้ 90% ของรายได้บล็อก
“โฆษณาและลิงก์พันธมิตรเป็นกลยุทธ์การสร้างรายได้ที่ดี ซึ่งขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย แต่การสร้างสินค้านั้นง่ายกว่าและทำกำไรได้มากกว่าที่บล็อกเกอร์ส่วนใหญ่คิด” Benjamin กล่าว “สินค้าของคุณไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลก เพราะมันก็แค่สิ่งที่คนอ่านเห็นว่ามีประโยชน์จริงๆ และยินดีจ่าย”
8. ขายสินค้าจริง
คุณมีแฟนประจำบล็อกหรือไม่? ผู้อ่านที่ภักดีต่อบล็อกมักจะกลายเป็นแฟนตัวยงที่อยากสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์ ดังนั้นนี่จึงเป็นช่องทางที่ตอบโจทย์แฟนๆ ของคุณ ในขณะที่บล็อกก็ทำเงินได้จากการขายสินค้าจริง
โมเดลการพิมพ์ตามคำสั่งเหมาะาสำหรับธุรกิจบล็อกขนาดเล็ก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าผลิตตอนมีคนสั่งซื้อ ไม่มีสินค้าค้างสต๊อกและค่าธรรมเนียมการจัดเก็บ หรือค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเมื่อผลิตสินค้าจำนวนมาก
ใช้บริการอย่าง Printful หรือ Printify เพื่อสร้างสินค้าที่กำหนดเองได้ เช่น
- แก้ว
- เสื้อยืด
- สติกเกอร์
- โปสเตอร์
- กระเป๋าผ้า
- เคสโทรศัพท์
หากคุณชอบอะไรที่ต้องลงมือทำมากกว่านี้ ลองเริ่มต้นร้านขายของออนไลน์ และใช้คนอ่านบล็อกเป็นฐานลูกค้าเริ่มต้น
9. สร้างคอมมูนิตี้สมาชิก
ให้ประสบการณ์ VIP แก่ผู้อ่านที่มีส่วนร่วม ซึ่งพวกเขาต้องแลกด้วยการจ่ายค่าธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งคอมมูนิตี้ประเภทนี้เป็นส่วนสำคัญของการเชื่อมต่อทางสังคม สิ่งที่สำคัญโดยเฉพาะในโลกที่มีแนวโน้มจะออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่คอมมูนิตี้จะแสดงให้เห็นว่าช่วยทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นแล้ว แต่ 52% ของผู้ซื้อจะใช้จ่ายมากกับแบรนด์มากขึ้นอีกด้วย
ยกตัวอย่างจาก Michael Keenan ผู้ทำคอมมูนิตี้สมาชิก ควบคู่ไปกับบล็อก Peak Freelance “หากคุณต้องการแหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอจากความพยายามในการเขียนบล็อก ให้ทำโปรแกรมสมาชิกแล้วเสนอคอนเทนท์พิเศษ เช่น คู่มือและหลักสูตร รวมถึงทำโปรโมชั่นกับ Slack ที่เราเสนอให้กับสมาชิก Peak Freelance”
“ตั้งค่าค่าธรรมเนียมสมาชิกเป็นรายเดือนหรือรายปี พร้อมกับให้ส่วนลดเล็กน้อยสำหรับผู้ที่จ่ายรายปี โมเดลนี้จะทำให้คุณมีเงินทุนหมุนเวียนที่ดี และนำไปใช้ในการพัฒนาคอนเทนท์และสินค้าใหม่ๆ สำหรับสมาชิก”
10. สร้างรายได้จาก YouTube
คุณสามารถทำเงินจาก YouTube ได้โดยการขยายคอนเทนท์บล็อก
เพิ่มการตลาดผ่านวิดีโอลงในลิสต์ เพื่อเพิ่มค่าคอมมิชชั่นจากพันธมิตร ซึ่งตามสถิติแล้วผู้บริโภค 88% ถูกชักชวนให้ซื้อของหลังจากดูวิดีโอจบ ดังนั้น คุณสามารถทำวิดีโอสอนหรือรีวิวสินค้า จากนั้นรับค่าตอบแทนเมื่อผู้ชมกดซื้อตามคำแนะนำของคุณ
เพิ่มรายได้ที่คุณทำจากบล็อกโดยการมองคอนเทนท์เป็นพื้นฐานของสคริปต์วิดีโอ อัดวิดิโอตัวเองพูดคุยเกี่ยวกับแต่ละหัวข้อ จากนั้นตัดต่อและอัปโหลดลง YouTube
บล็อกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลัง A Beautiful Mess ทำวิดีโอ YouTube ที่แสดงวิธีการทำชั้นวางของด้วยตัวเอง คำอธิบายจากวิดีโอจะแนะนำให้คนคลิกไปยังบล็อกที่มีลิงก์พันธมิตรที่ลิงก์ไปยังสินค้าอีกต่อ
กลยุทธ์นี้ได้ผลในหลายๆ ด้าน ประการแรก ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบอ่านคอนเทนท์ เพราะบางคนอาจจะชอบดูวิดีโอ ดังนั้น หากมีกลุ่มเป้าหมาย 1,000 คน เพียงแค่การลงคอนเทนท์บทความบนบล็อกคงไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้
ประการที่สอง Google และ YouTube เป็น 2 เสิร์ชเอนจินที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลก การแชร์คอนเทนท์ไปยัง 2 แพลตฟอร์มเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายของคุณเห็นคอนเทนท์ และทำให้เกิดการซื้อสินค้าที่คุณเป็นพันธมิตรอยู่
สำหรับคำค้นบางคำ อัลกอริธึมของ Google จะดึงวิดีโอ YouTube ทำให้ขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเสิร์ชเอนจิน (SERP) เช่น สิ่งแรกที่คุณจะเห็นใน SERP สำหรับ “วิธีการดูแลสุนัขที่บ้าน” คือวิดีโอ YouTube เกี่ยวกับหัวข้อนั้น
ข้อดีของช่อง YouTube คืออะไร? เพราะยูทูปมีความเคลื่อนไหวสูงและขยายโอกาสในการสร้างรายได้
แพลตฟอร์มมีฟีเจอร์การสร้างรายได้ของตัวเอง รวมถึงโปรแกรมพันธมิตร YouTube ซึ่งมีให้สำหรับ Vlogger ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1,000 คน (และ 4,000 ชั่วโมงการรับชม) ระบบของ YouTube จะแสดงโฆษณาก่อนที่วิดีโอของคุณจะโหลด และเจ้าของช่องจะได้รับเงินทุกครั้งที่มีคนดู และนี่เป็นวิธีที่ดีในการเสริมรายได้จากบล็อก
อ่านเรื่องเจ๋งอื่นๆ: การตลาดพันธมิตร YouTube กับ 7 เคล็ดลับสร้างรายได้เสริมอย่างมือโปร
11. ผลิตพอดแคสต์และหาสปอนเซอร์
พอดแคสต์เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าจะมีกว่า 100 ล้านคนในอเมริกาในปี 2024
แต่ละตอนของพอดแคสต์ ไม่เพียงแต่เติมเต็มช่วงเวลาในการเดินทางตอนเช้า เพราะการศึกษาชี้ให้เห็นว่าผู้ฟัง 70% จะเข้าไปที่เว็บของแบรนด์หลังจากได้ยินเกี่ยวกับสินค้าสปอนเซอร์บนพอดแคสต์ และอีก 67% จะเริ่มพูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับสินค้านั้น ทั้ง 2 จุดนี้ทำให้พอดแคสต์เป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ที่ต้องการขยายการเข้าถึง
ใช้ประโยชน์จากความสนใจของผู้ชมโดยการผลิตพอดแคสต์ บันทึกเสียงของตัวเองพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย และเผยแพร่แต่ละตอนลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Apple Podcasts หรือ Spotify
ติดต่อแบรนด์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพื่อเสนอขายสปอนเซอร์ ขายพื้นที่โฆษณาให้บริษัทที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตามแพคเกจสปอนเซอร์
เรทราคาสปอนเซอร์และโฆษณาบนพอดแคสท์นี้จะช่วยเป็นไกด์ให้คุณได้ ตัวอย่างเช่น
- มียอดดาวน์โหลด 10,000 ครั้ง
- โพสต์ตอนใหม่ 4 ตอนต่อเดือน
- โฆษณา 2 รายการ (หนึ่งรายการก่อนเริ่ม)
แพคเกจนี้สามารถเพิ่มรายได้มากกว่า $16,000 (ประมาณ 500,000 บาท) ต่อปี
ข้อเสียของการใช้วิธีพอดแคสต์คืออาจมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งในด้านเวลาและเงิน ใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับผู้ชมใหม่ นอกจานี้คุณยังต้องการอุปกรณ์ เช่น ไมโครโฟนคุณภาพสูงและซอฟต์แวร์ตัดต่อเพื่อผลิตพอดแคสต์ แต่ถ้าทำได้ถูกต้อง คุณก็มีศักยภาพในการเพิ่มช่องทางรายได้ที่ทำกำไรให้กับบล็อกของคุณ
ต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะได้เงินจากการเขียนบล็อก?
แม้ว่าคุณจะสามารถทำเงินได้ทันทีจากการเขียนบล็อก แต่โดยทั่วไปแล้วต้องใช้เวลาสักระยะ
บางคนที่มีแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการสามารถทำเงินได้ $100 (ประมาณ 3400 บาท) แรกผ่านทางออนไลน์ได้ภายในไม่กี่เดือน อย่าง Brittany Berger ผู้ก่อตั้ง Work Brighter ซึ่งเริ่มทำเงินได้เกือบจะทันที เพราะ Berger สร้างสินค้าดิจิทัลราคา $20 (670 บาท) ที่เธอโปรโมตในจดหมายข่าวรายสัปดาห์ “การเริ่มต้นในช่วงต้นของบล็อก ฉันสามารถ สร้างยอดคอนเวอร์ชั่น ได้เยอะ” เธอกล่าว
“ในตอนนั้นส่วนตัวคิดว่าการรอเปิดตัวสินค้าตอนมีแฟนๆ มีจำนวนเยอะแล้วอาจจะกดดันเกินไป มาถึงวันนี้ก็ยังนึกดีใจที่ได้ทดลองกับผลิตภัณฑ์เล็กๆ กับฐานผู้ติดตามที่ยังมีไม่มาก”
Mushfiq Sarkar เริ่มเขียนบล็อกในขณะทำงานประจำตั้งแต่ปี 2008 แม้ว่า Mushfiq จะไม่มีประสบการณ์ด้านการตลาดมาก่อน แต่เขากล่าวว่า “เราลาออกจากงานในเดือนเมษายน 2021 เพื่อมุ่งเน้นที่ The Website Flip เพราะมันเติบโตมาก และเราก็เริ่มชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ในการทำให้เว็บไซต์เติบโตจากการเขียนบล็อก”
ตอนนี้บล็อกสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีอายุเพียงไม่กี่ปี “หลายคนรู้จักเราจากชื่อ แต่ไม่รู้ว่าเราเป็นบล็อกเกอร์ และเราก็เริ่มทำเงินได้อย่างรวดเร็ว แค่ภายในเดือนสองเดือน”
การเขียนบล็อกมักเป็นงานเสริมที่คนเริ่มทำ ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถลาออกจากงานประจำได้ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ใช้ในการสร้างรายได้ที่สำคัญจะแตกต่างกันไป
เปลี่ยนบล็อกของคุณให้เป็นเครื่องทำเงิน
การสร้างธุรกิจบล็อกไม่ใช่กระบวนการเส้นตรง แหล่งรายได้ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย ความสัมพันธ์กับผู้ชม และรูปแบบคอนเทนท์ที่คุณผลิต เน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพ และสร้างฐานผู้ติดตามเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยทดลองใช้กลยุทธ์การสร้างรายได้เหล่านี้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีทำเงินจากการเขียนบล็อก
วิธีทำเงินจากการเขียนบล็อกของมือใหม่คืออะไร?
วิธีที่เร็วที่สุดในการสร้างรายได้จากบล็อกคือการรับลงโฆษณา เพราะคุณไม่จำเป็นต้องมีทักษะเฉพาะในการเปิดให้เช่าพื้นที่ในบล็อกกับ Google AdSense แต่คุณจะได้รับเงินสำหรับทุกๆ 1,000 ผู้เข้าชมที่เห็นโฆษณา
จะเป็นบล็อกเกอร์ ต้องมีประสบการณ์หรือไม่?
ไม่จำเป็น ในการทำเงินจากการเขียนบล็อก คุณจะเป็นคนควบคุมเว็บไซต์ทั้งหมด ซึ่งให้เสรีภาพในการสร้างทักษะการตลาดดิจิทัลผ่านการทดลองและข้อผิดพลาด
จะหารายได้ 3,000 บาทต่อเดือนจากการเขียนบล็อกได้อย่างไร?
การเขียนบล็อกเป็นวิธีที่ดีในการทำเงินก้อนแรกที่ 3,000 บาท เริ่มต้นด้วยการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ทำกำไรได้ สร้างลิสต์อีเมล และแนะนำสินค้าจากโปรแกรมพันธมิตร นอกจากนี้คุณยังสามารถทำเงินได้หลักแสนต่อเดือน หากมีคนซื้อสินค้าผ่านการแนะนำของคุณ
บล็อกประเภทไหนที่ทำเงินได้?
บล็อกที่มีรายได้สูง มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ได้แก่ คอมมูนิตี้ระหว่างบล็อกเกอร์และผู้ชม และยิ่งมีผู้เข้าชมบล็อก และเชื่อมั่นในคำแนะนำของคุณมากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะทำเงินจากการเขียนบล็อกก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น