เมื่อพูดถึงการขายของออนไลน์ การนำเสนอเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเพิ่มความน่าสนใจให้กับร้านค้าคือการใช้การใช้ภาพสินค้าคุณภาพสูง ภาพที่สวยงามและดูเป็นมืออาชีพสามารถเพิ่มความน่าสนใจให้กับร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมากและช่วยให้คุณโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
แม้ว่าการลงทุนในสตูดิโอถ่ายภาพมืออาชีพจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้เสมอไปสำหรับธุรกิจใหม่หรือธุรกิจขนาดเล็ก โชคดีที่การถ่ายภาพสินค้าแบบ DIY เป็นทางเลือกที่ดีไม่แพ้กัน ด้วยเครื่องมือและเทคนิคที่เหมาะสม ทำให้คุณสามารถสร้างภาพถ่ายสินค้าที่น่าสนใจซึ่งสามารถเทียบเท่ากับภาพมืออาชีพได้โดยไม่ต้องใช้เงินมาก
เช็คลิสต์อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพสินค้า
การถ่ายภาพอีคอมเมิร์ซที่มีคุณภาพสูงในร้านค้าออนไลน์เป็นปัจจัยที่ทำให้คุณขายได้หรือทำให้คุณสูญเสียลูกค้า คู่มือนี้ถูกออกแบบมาสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด โดยนำเสนอเทคนิคที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการผลิตภาพถ่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้
มาสำรวจสิ่งของสำคัญที่คุณจะต้องใช้ในการตั้งค่าสตูดิโอถ่ายภาพสินค้าของคุณ
กล้อง
กล้องที่คุณเลือกมีบทบาทสำคัญในคุณภาพของภาพสินค้าข แม้ว่ากล้อง DSLR ระดับสูงอย่าง Nikon D850 (ราคาประมาณ 61,020 บาท) พร้อมเลนส์ 105 มม. f/1.4 (ประมาณ 25,086 บาท) จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่งได้ แต่ไม่จำเป็นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะในความเป็นจริง คุณสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีด้วยสมาร์ทโฟนของคุณ ลองดูเทคนิคการถ่ายภาพสินค้าด้วยสมาร์ทโฟนของเราเป็นตัวอย่างได้
เริ่มต้นด้วยกล้องที่คุณมีอยู่และประเมินผลลัพธ์ อย่าลืมว่ากล้องเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภารกิจ การถ่ายภาพสินค้าที่ดีเป็นผลมาจากการพิจารณาเกี่ยวกับแสง การปรับ จัดแต่ง และการตัดต่อหลังการถ่ายภาพ
ขาตั้งกล้อง
ขาตั้งกล้องมีสามขา สามารถรองรับและช่วยให้กล้องมีความเสถียร ซึ่งสำคัญมากสำหรับการถ่ายภาพสินค้าเพื่อจัดเฟรมและองค์ประกอบที่สม่ำเสมอในหลายๆ ช็อต
ขาตั้งกล้องมีประโยชน์โดยเฉพาะเมื่อถ่ายภาพด้วยความเร็วชัตเตอร์ช้า ซึ่งมักจะจำเป็นเมื่อตั้งค่ากล้องให้มีรูรับแสงเล็ก (เพื่อให้ได้ความลึกที่มากขึ้น) ขาตั้งทำให้ทำงานได้ง่าย เพราะกล้องตั้งอยู่บนพื้นผิวที่มั่นคง และยังสามารถปรับความสูงและทิศทางเพื่อให้ได้รูปที่มีความสูงและมุมที่แตกต่างกัน
สำหรับผู้เริ่มต้น ขาตั้งกล้องราคาย่อมเยาจะเพียงพอ ตัวเลือกคุณภาพดีหลายรายการมีราคาไม่ถึง 30 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,017 บาท)
พื้นหลังสีขาว
พื้นหลังสีขาวที่สะอาดและการควบคุมแสงที่เหมาะสมเป็นพื้นฐานสำหรับภาพถ่ายผลิตภัณฑ์ที่ดูเป็นมืออาชีพ หากคุณจะถ่ายภาพบ่อยๆ ควรพิจารณาลงทุนในพื้นหลังสีขาวแบบโค้ง กระดาษม้วนจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะคุณสามารถตัดส่วนที่สกปรกออกและม้วนวัสดุใหม่ลงได้ง่าย
สำหรับตัวเลือกที่ประหยัด ให้ไปที่ร้านศิลปะหรือร้านขายยาใกล้บ้านและซื้อกระดาษโปสเตอร์ราคาเพียง 7 ดอลลาร์ (ประมาณ 237 บาท) จะได้ประมาณ 10 แผ่น ให้เลือกสีขาวบริสุทธิ์ เพราะพื้นหลังสีขาวหรือครีมจะยากต่อการแต่งในภายหลัง
โต๊ะ
โต๊ะที่ดีช่วยให้คุณปรับพื้นหลัง แสง และสินค้าได้ง่าย เพื่อตอบโจทย์การตั้งค่ากล้องที่หลากหลาย
โต๊ะพับมาตรฐานใช้ได้ดีมากสำหรับการถ่ายภาพสินค้า ขนาดกว้างระหว่าง 24 ถึง 27 นิ้ว คือไซส์ที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการจัดตั้งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่โดยไม่ใหญ่เกินไป
คลุมโต๊ะด้วยวัสดุพื้นหลังที่คุณเลือก โดยให้ผ้าคลุมโค้งขึ้นไปติดกับผนังหรือขาตั้งพื้นหลังเพื่อให้ดูไร้รอยต่อ เช็คให้แน่ใจว่าคุณสามารถทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง โดยตัวโต๊ะไม่จำเป็นต้องสวยงาม เน้นความมั่นคงและขนาดที่เหมาะสม เพราะตัวโต๊ะถูกคลุมอยู่ดี
เทป
การยึดติดการตั้งค่าของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการถ่ายภาพที่สม่ำเสมอ เทปเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการยึดพื้นหลังของคุณไว้ในที่ที่มันควรอยู่
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อโต๊ะ ให้ใช้เทปที่เหนียวและถอดออกได้ เช่น ใช้เทปสีอย่างดียึดขอบของวัสดุพื้นหลัง (เช่น กระดาษโปสเตอร์หรือกระดาษไร้รอยต่อ) ไว้กับโต๊ะ เช็คให้ดีว่ากระดาษคลุมตึงและไม่มีรอยยับ เมื่อโค้งขึ้นไปติดกับผนังหรือขาตั้งพื้นหลัง
เลนส์
การเลือกเลนส์มีผลต่อคุณภาพโดยรวมอย่างมาก ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับขนาดผลิตภัณฑ์และสภาพแวดล้อมในการถ่ายภาพเมื่อเลือกเลนส์
แม้ว่าเลนส์อาจเป็นการลงทุนที่สำคัญ แต่ควรมุ่งเน้นที่ความหลากหลาย เลนส์ซูมมาตรฐานช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพสินค้าขนาดใหญ่และรายละเอียดเล็กๆ ได้ ซึ่ง 2 ตัวเลือกยอดนิยม ได้แก่
- 24–70 มม. f/2.8: ถ่ายภาพได้หลากหลาย ทั้งภาพระยะใกล้และมุมกว้าง โดยมีรูรับแสง f/2.8 สำหรับสถานการณ์ที่มีแสงน้อย
- 50 มม. f/1.8: เลนส์นี้ตรงตามระยะโฟกัสของตามนุษย์ และรูรับแสงกว้าง เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
ลองใช้ระยะโฟกัสที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าแบบไหนดูดีที่สุดสำหรับสินค้าคุณ แล้วเลือกเลนส์ที่ให้ช่วยแสดงฟีเจอร์สินค้าไ้ดอย่างชัดเจนและน่าสนใจ
กล่องไฟ
กล่องไฟเหมาะสำหรับการถ่ายภาพสินค้า เนื่องจากสามารถสร้างแสงที่สม่ำเสมอและลดเงา เพื่อให้ได้ภาพที่เป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กถึงขนาดกลางการใช้กล่องไฟนั้นง่าย เพียงวางผลิตภัณฑ์ของคุณไว้ภายในบนพื้นหลังสีขาว หากกล่องไฟของคุณมีไฟในตัว ให้เปิดไฟและปรับให้มีการส่องสว่างที่สม่ำเสมอ ส่วนใครที่ต้องการปรับรายละเอียดอื่นๆ ที่มากกว่านี้ ก็อาจใช้แสงอาทิตย์จากเอาท์ดอร์ได้
อุปกรณ์เสริม
อุปกรณ์เสริมช่วยบอกเล่าเรื่องราวสินค้า ผ่านการตั้งค่าที่มีผลต่ออารมณ์ เช่น แสดงขนาด หรือแสดงการใช้งาน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องสร้างสมดุล และอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ควรช่วยเพิ่มมูลค่าหรือส่งเสริมให้สินค้าดูโดดเด่น ไม่ใช่ทำให้สินค้าดรอป
ตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพแก้วกาแฟ คุณอาจรวมเมล็ดกาแฟ หนังสือ หรือขนมเบเกอรี่ไว้ในเฟรมเพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น จัดเรียงอุปกรณ์เสริมให้อยู่รอบๆ สินค้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยให้แน่ใจว่าอุปกรณ์เสริมไม่แย่งซีนแก้วกาแฟ
เลือกสีที่ไม่ขัดกับสินค้า ลองถ่ายภาพทดสอบและปรับการจัดเรียงตามต้องการ เพื่อสร้างภาพที่มีความสมดุลและน่าสนใจ
สภาพแสงที่เหมาะสม
แสงธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะในร่มหรือนอกบ้าน เมื่อถ่ายภาพในร่ม ห้องที่มีหน้าต่างขนาดใหญ่ติดกับผนังจะให้แสงที่ดีเยี่ยม
นอกบ้าน พื้นที่เปิดหรือจุดที่มีร่มเงาจากต้นไม้สามารถให้แสงที่ดีได้ อย่างไรก็ตาม การควบคุมแสงภายนอกอาจเป็นเรื่องท้าทายและอาจต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติม เช่น ตัวกระจายแสงหรือสะท้อนแสง
อย่าลืมว่าระยะห่างจากแหล่งแสงมีผลต่อผลลัพธ์ การอยู่ใกล้จะสร้างแสงที่นุ่มนวลพร้อมเงาที่มืดและนุ่ม ในขณะที่ระยะห่างที่มากขึ้นจะทำให้แสงสว่างและคมชัดมากขึ้น ทดลองเพื่อค้นหาพื้นที่ที่คุณสามารถปรับแสงให้ได้ตามที่ต้องการ
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเคล็ดลับถ่ายภาพเครื่องประดับ DIY (2024)
วิธีถ่ายภาพสินค้าแบบมืออาชีพบนพื้นหลังสีขาว
- ตั้งโต๊ะ
- ติดตั้งพื้นหลัง
- ปรับกล้อง
- จัดวางสินค้า
- ตั้งแผ่นรีเฟล็กซ์
- ถ่ายภาพและประเมินผล
- ปรับแต่งภาพ
- ปรับภาพให้เหมาะกับเว็บไซต์
ภาพถ่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าได้อย่างมาก แม้ว่าการแต่งภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่พื้นฐานของการถ่ายภาพสินค้าที่ดีอยู่ที่การถ่ายภาพในครั้งแรก มาดูขั้นตอนทีละขั้นตอนในการจับภาพภาพถ่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพกัน
ขั้นตอนที่ 1 ตั้งโต๊ะ
เมื่อคุณจัดเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้ว ถึงเวลาสร้างพื้นที่ถ่ายภาพ
- วางโต๊ะให้ใกล้หน้าต่าง โดยไม่ให้เงาของขอบหน้าต่างตัดผ่าน
- เริ่มต้นด้วยการตั้งหน้าต่างที่มุม 90 องศากับการตั้งค่าของคุณ
- ยิ่งใกล้หน้าต่างที่มีขนาดใหญ่ แสงที่ได้ก็จะยิ่งนุ่มนวลมากขึ้น
เคล็ดลับสำคัญ: ปิดไฟดวงอื่นๆ ในห้องให้หมด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการตั้งค่ากล้อง ซึ่งนี่เป็นข้อผิดพลาดทั่วไปที่ผู้เริ่มต้นหลายอาจไม่รู้มาก่อน
ลองถ่ายภาพด้วยเซ็ทอัปหลายๆ แบบ เช่น
- ลองหมุนตำแหน่ง Setup ให้หน้าต่างอยู่ที่มุม 45 องศา
- วางโต๊ะสินค้าให้ตรงหน้าต่าง เพื่อให้ได้เอฟเฟกต์แสงธรรมชาติที่หลากหลาย
- สำหรับการถ่ายภาพอาหาร ลองวาง Setup ให้หน้าต่างอยู่ด้านหลังสินค้า วิธีนี้จะช่วยให้ได้เอฟเฟกต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
- ทดลองถ่ายภาพในโรงรถที่เปิดประตูไว้ให้แสงเข้ามาได้ วิธีนี้จะช่วยให้ภาพมีแสงธรรมชาติโดยไม่ถูกรบกวนจากเงากระจกหน้าต่าง
หลีกเลี่ยงแสงแดดที่ส่องตรงไปยังการเซ็ทอัปของคุณ เพราะนั่นจะทำให้เกิดเงาที่ดูแข็งแบะไม่เหมาะกับสินค้าส่วนใหญ่
ขั้นตอนที่ 2 ติดตั้งพื้นหลัง
พื้นหลังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการถ่ายภาพสินค้า ซึ่งมักใช้เป็นวัสดุชิ้นเดียว มักเป็นกระดาษหรือผ้าสีขาวที่ปรับทรงให้โค้งงอได้และไร้รอยต่อ เพื่อช่วยขจัดมุมหรือรอยด่างบนพื้นหลัง และยังสร้างภาพรวมที่สะอาด เป็นมืออาชีพให้กับภาพถ่ายของคุณ
วิธีการตั้งค่าพื้นหลัง
- วางวัสดุพื้นหลังในตำแหน่งแนวตั้ง จัดให้โค้งลงมาบนพื้นโต๊ะแนวนอน
- คุณอาจต้องม้วนแผ่นกระดาษนิดๆ เพื่อให้ได้ความโค้งที่เหมาะสม
- เป้าหมายคือการสร้างพื้นหลังที่เรียบและไร้รอยต่อ ระหว่างฉากหลังสินค้าไปยังสินค้า
ตัวเลือกการตั้งค่า
- หากเป็นไปได้ ให้วางโต๊ะติดกับผนังและติดเทปพื้นหลังทั้งที่ผนังและโต๊ะ
- หากไม่มีผนัง ให้ใช้อิฐหรือบล็อกไม้มาวางเป็นฉากแนวตั้ง
วางสินค้าของคุณไว้ตรงกลางของพื้นหลัง และอย่าลืมเว้นที่ไว้สำหรับแผ่นรีเฟล็กซ์ (ที่คุณสามารถแต่งภาพได้ตอนหลัง) ซึ่งการตั้งค่านี้จะทำให้สินค้าดูเหมือนลอยอยู่บนพื้นหลังที่สะอาดและปราศจากสิ่งรบกวน ดึงดูดความสนใจทั้งหมดไปที่สิ่งที่คุณกำลังนำเสนอ
ขั้นตอนที่ 3 ปรับกล้อง
แม้ว่ากล้องแต่ละตัวจะแตกต่างกัน แต่มีแนวทางทั่วไปบางประการที่สามารถช่วยคุณได้ ดังนี้
- ตั้งค่าไวท์บาลานซ์ (WB) เป็นอัตโนมัติ
- ปิดแฟลช
- ใช้การตั้งค่าภาพที่มีคุณภาพสูงสุดที่มีอยู่ หากมี ให้ใช้รูปแบบ RAW เพื่อความยืดหยุ่นในการแก้ไข หรือจะเลือกการตั้งค่า JPG ที่ใหญ่ที่สุด เลือกความละเอียดสูงเพื่อให้ได้ขนาดภาพที่ใหญ่ และคุณภาพ Superfine
- ตั้งค่า ISO อยู่ที่ 100 เพื่อลด Noise
การตั้งค่าเปิดรับแสง
ตัวเลือก A: โหมดแมนนวล (M)
- ตั้งค่า f-stop ของคุณให้สูงที่สุดเพื่อให้ได้ความลึกสูงสุด
- ปรับความเร็วชัตเตอร์จนกว่าภาพที่ได้จะสวยและเหมาะสม
- ใช้โหมด Live View เพื่อเช็คและปรับรายละเอียดภาพ
ตัวเลือก B: โหมดเปิดรับแสง (Av)
- ตั้งค่า f-stop ให้สูงที่สุด
- กล้องจะปรับความเร็วชัตเตอร์โดยอัตโนมัติ
- หากจำเป็นให้ใช้การชดเชยการเปิดรับแสง
ตัวเลือก C: การเปิดรับแสงอัตโนมัติ
- หากถูกจำกัดให้ใช้การตั้งค่าอัตโนมัติ ให้ลองใช้โหมดพระอาทิตย์ตก
- บนสมาร์ทโฟน ให้แตะบนตำแหน่งที่ต้องการให้โฟกัส
- ใช้การชดเชยการเปิดรับแสง (+1 หรือ +1½) หากอุปกรณ์มีฟังก์ชั่น
เคล็ดลับจากโปร: อย่าพึ่งภาพตัวอย่างของกล้องเพียงอย่างเดียว ใช้ฮิสโตแกรมเช็คว่าตั้งค่าเปิดรับแสงถูกต้อง ปรับการเปิดรับแสงจนกว่ากราฟที่แสดงพื้นหลังสีขาวจะสัมผัสขอบขวาโดยไม่เกินออกมา
ขั้นตอนที่ 4 จัดวางสินค้า
การจัดตำแหน่งสินค้าอาจดูเหมือนง่าย แต่บ่อยครั้งต้องใช้ความใส่ใจในรายละเอียดมาก สำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น ขวด ควรเช็คให้ดีกว่าเลเบลถูกจัดให้อยู่กลางและไม่เอียง ซึ่งตามปกติแล้วการจัดวางสินค้าต้องปรับทีละจุด หลายๆ ครั้ง เพื่อให้ได้การจัดตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบ
ขั้นตอนที่ 5 ตั้งแผ่นรีเฟล็กซ์
แผ่นรีเฟล็กซ์สีขาวเป็นตัวปรับแสงที่มีส่งผลต่อภาพที่สุด และการจัดวางสามารถทำได้หลายวิธีตามความเหมาะสมกับประเภทสินค้า แผ่นรีเฟล็กซ์จะทำหน้าที่สะท้อนแสงเพื่อเติมเต็มเงา ทำให้ภาพมีแสงสว่างสม่ำเสมอมากขึ้น ลองปรับมุมแผ่นรีเฟล็กซ์ เพื่อหามุมแสงที่ดีที่สุดสำหรับสินค้าของคุณ
ขั้นตอนที่ 6 ถ่ายภาพและประเมินผล
หลังจากที่คุณถ่ายภาพสินค้าแล้ว ให้ใช้เวลาและเช็คผลงาน และนี่คือจุดที่ประสบการณ์และทฤษฏีต่างๆ เข้ามามีบทบาทสำคัญ
- อะไรบ้างที่เหมาะสมแล้ว
- ส่วนไหนบ้างที่ต้องปรับปรุง
- จะทำให้ภาพรวมดีขึ้นได้อย่างไร?
ทดลองใช้เทคนิคต่างๆ ปรับทักษะการถ่ายภาพไปเรื่อยๆ อัปโหลดภาพลงคอมพิวเตอร์ เพื่อเช็ครายละเอียด เนื่องจากหน้าจอกล้องอาจทำให้เข้าใจผิด ลองพิจารณาใช้ซอฟต์แวร์ เช่น Lightroom เพื่อจัดระเบียบและแต่งภาพเบื้องต้น
ขั้นตอนที่ 7 ปรับแต่งภาพ
ตามทฤษฎีแล้ว ภาพถ่ายที่ดีจะไม่ต้องแต่งมาก แต่ภาพถ่ายสินค้าของมือใหม่ การปรับแต่งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น
- พื้นหลังเรียบ สะอาด
- การลบเงา
- ปรับความสว่างและความคมชัดโดยรวม
การปรับแต่งอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับมือใหม่ แต่เครื่องมืออย่าง Shopify Magic ทำให้กระบวนการนี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้ช่วยให้คุณ
- แยกวัตถุออกจากพื้นหลัง
- ลบหรือเปลี่ยนพื้นหลังด้วยฉากที่สร้างขึ้นโดย AI ได้ถึง 4 ฉากในเวลาเดียวกัน
- ปรับแต่งรูปลักษณ์ สไตล์ และบริบทโดยใช้ข้อความ
อีกทางเลือกหนึ่งคือการจ้างงาน Outsource ให้บริการแต่งภาพโดยมืออาชีพ ซึ่งบริษัท Pixelz และ Path มีแพคเกจราคาไม่แพง โดยทั่วไปมีราคาอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 ดอลลาร์ (ประมาณ 102 ถึง 170 บาท) ต่อภาพ
ขั้นตอนที่ 8 ปรับภาพให้เหมาะกับเว็บไซต์
การปรับภาพให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา (SEO) และความเร็วในการโหลด ตั้งเป้าหมายให้มีความสมดุลระหว่างคุณภาพและขนาดไฟล์ ซึ่งโดยทั่วไปควรอยู่ที่ไม่เกิน 200 กิโลไบต์ต่อภาพ
และในการปรับภาพให้พร้อมสำหรับลงเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ มีข้อปฏิบัติดังนี้
1. ปรับขนาดให้พอดีคอนเทนเนอร์
การปรับขนาดให้เหมาะกับเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคอนเทนเนอร์ขนาด 684px แต่ภาพของคุณขนาด 1500 px แน่นอนว่าภาพนี้โหลดขึ้นและใช้งาน แต่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลง
2. เช็คขนาดคอนเทนเนอร์ HTML
- ใช้เครื่องมือบนเบราว์เซอร์ เพื่อเช็คองค์ประกอบภาพ
- คลิกขวาที่ภาพและเลือก "ตรวจสอบองค์ประกอบ"
- แถบด้านข้างจะโชว์ขนาดพิกเซลของคอนเทนเนอร์
เคล็ดลับมือโปร: ปรับขนาดภาพของคุณเป็น 1.5 เท่าของขนาดคอนเทนเนอร์สำหรับหน้าจอ Retina สำหรับคอนเทนเนอร์ขนาด 684 พิกเซล ให้ตั้งเป้าหมายที่ภาพขนาด 1026 พิกเซลสี่เหลี่ยม
ปรับขนาดภาพ
ใช้เครื่องมือในตัว เช่น Mac Preview หรือ Microsoft Picture เพื่อปรับขนาดได้ง่าย
- เปิดภาพของคุณในแอป
- ปรับขนาดให้เหมาะกับขนาดคอนเทนเนอร์ของคุณ
- Export และบันทึกเป็น JPEG ที่คุณภาพ 100%
บีบอัดภาพ
หลังจากปรับขนาดแล้ว คุณจะสังเกตเห็นว่าขนาดไฟล์ยังคงมีขนาดใหญ่ การบีบอัดที่จะช่วยลบข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ โดยไม่ทำให้คุณภาพลดลง
- ใช้ฟังก์ชัน Save For Web ของ Photoshop หรือซอฟต์แวร์เฉพาะทาง เช่น JPEGmini
- เครื่องมือเหล่านี้ใช้อัลกอริธึม ในการวิเคราะห์และบีบอัดอย่างเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการบีบอัดมากเกินไปซึ่งอาจทำให้ภาพดูเป็นจุดด่าง
คำแนะนำ
- ขนาดภาพ: ~1 ถึง 1.5 เท่าของขนาดคอนเทนเนอร์ HTML
- รูปแบบ: JPEG
- สีสเปซ: sRGB
- การบีบอัด: ใช้ JPEGmini หรือเครื่องมือที่คล้ายกันหลังการ Export
เคล็ดลับการถ่ายภาพสินค้าจากมือโปร
ลองใช้เคล็ดลับถ่ายภาพสินค้าต่อไปนี้
การใช้แสงจากหน้าต่างเทียบกับกล่องไฟ
แสงจากหน้าต่าง (แสงธรรมชาติ) มักจะดีกว่าเพราะเป็นการตั้งค่าแสงเดียวที่ง่าย ราคาประหยัด และใช้งานง่าย เมื่อถ่ายภาพด้วยเต็นท์หรือกล่องไฟ คุณจะเข้าสู่การตั้งค่าแสงหลายจุด ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและมักต้องการความรู้ที่สูงขึ้น
การตั้งค่าแสงหลายจุดนำเสนอความท้าทายหลายประการ
- ค่าใช้จ่าย: กล่องไฟและแสงอาจมีราคาแพง อาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการจ้างมืออาชีพ
- ความรู้ทางเทคนิค: คุณองเข้าใจวิธีการปรับสมดุลการเปิดรับแสงของแสงต่างๆ และจัดตำแหน่งให้ถูกต้อง ซึ่งรวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับ f-stops, ความเร็วชัตเตอร์ และความสัมพันธ์กับแสง
- การปรับสมดุลสี: แหล่งแสงแต่ละจุดมีอุณหภูมิสีที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพ
- ความซับซ้อนของแฟลช: หากใช้แฟลชแทนแสงต่อเนื่อง คุณจะต้องเผชิญกับความท้าทายเกี่ยวกับการเปิดรับแสง ความเร็วซิงค์ และอุปกรณ์กระตุ้นเฉพาะทาง
คุณภาพของแสงจากเต็นท์มักจะสม่ำเสมอและไม่มีเงา แม้ว่าสิ่งนี้อาจดูโอเค แต่จริงๆ แล้วเงาก็สำคัญสำหรับการสร้างทรงผลิตภัณฑ์และให้ความรู้สึกกับสถานที่ แสงจากหน้าต่างมักจะสร้างภาพที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจได้มากกว่า
เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ การทำ DIY ก็มีข้อจำกัด การทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบกับผลิตภัณฑ์ที่ท้าทาย เช่น สินค้าใสหรือสะท้อนแสงสูง มักต้องการการตั้งค่าสตูดิโอหลายจุดและความรู้ทางเทคนิคเชิงลึก
ใช้แผ่นโฟม
แผ่นโฟมเป็นเครื่องมือที่หลากหลายและจำเป็นสำหรับการควบคุมแสงในการถ่ายภาพสินค้า
- แผ่นโฟมสีขาว: ใช้เพื่อสะท้อนแสงกลับไปยังเงา ทำให้ด้านมืดของสินค้าสว่างขึ้น
- แผ่นโฟมสีดำ: สามารถทำให้เงาลึกขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าสีขาวบนพื้นหลังสีขาว
- การรวมแผ่นรีเฟล็กซ์: การวางแผ่นรีเฟล็กซ์ขาวด้านหน้า และแผ่นรีเฟล็กซ์ดำด้านหลังผลิตภัณฑ์ ทำให้การตั้งค่าแสงซับซ้อนมากขึ้น
แผ่นโฟมก็ใช้งานได้เช่นกัน เพราะมีความแข็งแรงและง่ายต่อการจัดตำแหน่ง คุณสามารถซื้อได้จาก Amazon หรือร้านขายยาใกล้บ้าน ในกรณีฉุกเฉิน กระดาษพิมพ์สีขาวหรือกระดาษโปสเตอร์ก็ใช้ได้เช่นกัน
เรียนรู้เทคนิคแต่งภาพพื้นฐาน
เรียนรู้ทักษะการแก้ไขภาพสามารถเพิ่มคุณภาพของรูปสินค้าได้มาก
- ประหยัดงบฯ: ลดความจำเป็นในการใช้บริการแต่งภาพโดยมืออาชีพ
- การควบคุม: ให้คุณควบคุมรูปลักษณ์ของสินค้าจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
- ความหลากหลาย: ช่วยให้สามารถนำภาพไปใช้ซ้ำในช่องทางการตลาดต่างๆ ได้
เริ่มต้นด้วย Adobe Photoshop Tutorials สำหรับบทเรียนที่เข้าถึงได้ซึ่งใช้ได้กับซอฟต์แวร์ต่างๆ หลังจากเรียนรู้พื้นฐานแล้ว ให้เลือก ซอฟต์แวร์แก้ไขภาพ ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ
ถ่ายจากมุมมองที่หลากหลาย
การให้มุมมองที่หลากหลายช่วยให้ผู้ซื้อเข้าใจสินค้าของคุณได้ดีขึ้น
- ระดับสายตา: แสดงผลิตภัณฑ์ตรงๆ ตามที่ตาเห็น
- มุมสูง: แสดงผลิตภัณฑ์จากด้านบน
- มุมต่ำ: จับภาพสินค้าจากด้านล่าง
- มุมจากด้านบน: ให้มุมมองจากด้านบนของสินค้า
วางกล้องและขาตั้งกล้องไว้ในที่เดียวกันระหว่างการถ่ายภาพ โดยหมุนผลิตภัณฑ์แทน สิ่งนี้จะช่วยให้มั่นใจว่ามีความสม่ำเสมอและลดการแก้ไขหลังการโปรดักชั่น
ลองถ่ายภาพสินค้าประเภทอื่น
ในขณะที่ภาพพื้นหลังสีขาวเป็นสิ่งสำคัญ ให้พิจารณาการรวมสไตล์อื่นๆ เพื่อเพิ่มการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของคุณ
สไตล์ชีวิต
ภาพถ่ายสไตล์ชีวิตช่วยบอกเล่าเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ของคุณและแสดงให้เห็นในบริบท
- ใช้สำหรับเนื้อหาบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย บล็อกโพสต์ และอีเมล
- ช่วยให้ผู้ซื้อจินตนาการถึงวิธีและสถานที่ในการใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ
สังเกตวิธีที่ Allbirds ใช้ทั้งภาพพื้นหลังสีขาวและภาพไลฟ์สไตล์ในหน้าสินค้าบนเว็บไซต์
วิธีนี้ช่วยให้ผู้ซื้อเข้าใจบริบทที่ผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์จริงๆ หากคุณขายรองเท้าปีนเขา ก็โชว์ให้เห็นว่ามันอยู่บนเท้าคนที่กำลังปีนเขา หรือสำหรับการขายเสื้อผ้าก็โชว์เสื้อผ้าของคุณบนตัวนายแบบหรือนางแบบที่กำลังเดินใน Vibe ที่ส่งเสริมการเข้ากันกับสินค้าและแบรนด์
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการถ่ายรูปเสื้อผ้า วิธีถ่ายภาพสินค้าแฟชั่นให้สวย
รายละเอียด
ภาพถ่ายรายละเอียดทำให้ผู้ซื้อได้เห็นคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์
- เน้นแง่มุมที่ไม่เหมือนใคร เช่น ซิป, เนื้อสัมผัส หรือวัสดุพิเศษ
- ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจคุณภาพและรายะเอียดผลิตภัณฑ์ของคุณ
ตรวจสอบวิธีที่ร้านขายเครื่องหนังอย่าง hardgraft ใช้ภาพถ่ายรายละเอียด เพื่อโชว์ซิป, หูจับ และฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนที่อื่นๆ บนหน้าสินค้า
กลุ่ม
ภาพแสดงสินค้าเป็นกลุ่ม ซึ่งมีประโยชน์ โดยเฉพาะในแง่ของ
- การแสดงชุดสินค้าหรืออุปกรณ์
- การแสดงความหลากหลายภายใน Product Line
ลองสังเกตว่า Beardbrand ใช้สไตล์นี้เพื่อเน้นกลุ่มสินค้าแบบไหน
จ้างมืออาชีพ
หากการถ่ายภาพสินค้าเกิดขีดความสามารถที่คุณมี การเลือกให้มืออาชีพมาทำงานแทนก็อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
- ค่าใช้จ่าย: ภาพพื้นหลังสีขาวโดยมืออาชีพมักมีราคาอยู่ระหว่าง 30 ถึง 60 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,017 ถึง 2,034 บาท) ต่อภาพ
- ผลตอบแทนจากการลงทุน: ภาพที่มีคุณภาพดีกว่าสามารถเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ความเชี่ยวชาญ: มืออาชีพสามารถจัดการภาพสินค้าที่ถ่ายยาก และสามารถจัดการความซับซ้อนของการเซ็ทอัปได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า
เขียนคำอธิบายสินค้าให้น่าสนใจ
จับคู่ภาพถ่ายสินค้าของคุณกับคำอธิบายสินค้าที่น่าสนใจ เพื่อทำให้หน้าสินค้าสร้างยอดขายให้ร้านอีคอมเมิร์ซ
- ให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสินค้า
- ใช้คำอธิบายที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ
- เช็คให้แน่ใจว่าคำอธิบายที่เขียนช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับภาพสินค้า
ใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายสินค้าของคุณให้ได้มากที่สุด
เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ๋งๆ มีฟีเจอร์หนึ่งที่เหมือนกันคือภาพสินค้าที่สวย แม้ว่าการถ่ายภาพอีคอมเมิร์ซโดยมืออาชีพอาจมีราคาแพง แต่คุณก็สามารถใช้เครื่องมือถ่ายภาพสินค้าเป็นตัวช่วยในการสร้างภาพที่น่าประทับใจได้ด้วยตัวเอง
การทำตามคู่มือนี้ คุณสามารถถ่ายรูปสนิค้าคุณภาพสูงสำหรับร้านขายของออนไลน์ และเมื่อมั่นใจในการถ่ายภาพมากขึ้น ก็สามารถสำรวจประเภทการถ่ายภาพที่อื่นๆ เพื่อเพิ่มมิติการนำเสนอสินค้าได้ในสเต็ปต่อไป
ข้อดีของการถ่ายภาพสินค้าคุณภาพสูงด้วยตัวเองคืออะไร? คุณจะสามารถควบคุมสร้างแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตามต้องการ และเมื่อทำได้ดี คุณจะมีโอกาสเพิ่มยอดขายและการคอนเวิร์สชันบนเว็บไซต์ และอาจขยายธุรกิจออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง คุณสามารถพัฒนาทักษะการขายภาพเองออนไลน์ได้เช่นกัน
ภาพประกอบโดย กราเซีย แลม (Gracia Lam)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการถ่ายภาพสินค้า
การถ่ายภาพสินค้าคืออะไร?
การถ่ายภาพสินค้า คือการใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อจับภาพสินค้าอย่างถูกต้องและน่าสนใจ ภาพเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ซื้อที่อาจเพิ่มอัตราคอนเวิร์สชั่นและยอดขายได้
ช่างภาพสินค้าทำเงินได้หรือไม่?
ตามข้อมูลจาก Glassdoor เงินเดือนของช่างภาพสินค้าอยู่ระหว่าง 48,000 ถึง 90,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 ล้าน ถึง 3 ล้านบาท) ต่อปี อย่างไรก็ตาม รายได้อาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น ประสบการณ์ ลูกค้า และความต้องการในตลาด ช่างภาพอาจหารายได้จากหลายช่องทาง รวมถึงการขายภาพออนไลน์ การทำงานฟรีแลนซ์ หรือการทำธุรกิจของตัวเอง
กล้องประเภทไหนที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสินค้า?
กล้อง DSLR หรือ Mirrorless ที่มีเซ็นเซอร์ฟูลเฟรมมักจะเหมาะที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสินค้า เนื่องจากให้คุณภาพภาพที่ยอดเยี่ยม ความหลากหลาย และมีฟังก์ชั่นการควบคุมที่มากพอจะทำให้รูปออกมามีคุณภาพ
ต้องใช้อะไรบ้างในการเซ็ทอัปการถ่ายภาพสินค้า?
- กล้อง
- ขาตั้งกล้อง
- พื้นหลังสีขาว
- แผ่นรีเฟล็กซ์สีขาว
- โต๊ะ
- เทป
- ห้องที่มีแสงจากหน้าต่างที่เหมาะสม
จะถ่ายภาพสินค้าที่บ้านได้อย่างไร?
- ลงทุนอุปกรณ์ที่จำเป็น
- เซ็ทอัปสตูดิโอ
- ถ่ายภาพสินค้า
- ใช้แผ่นรีเฟล็กซ์สีขาวควบคุมแสง
- แต่งภาพด้วยเครื่องมือออนไลน์
- อัปโหลดภาพที่เสร็จแล้วลงบนเว็บไซต์
ขั้นตอนถ่ายภาพสินค้ามีอะไรบ้าง?
- ตั้งโต๊ะ
- ติดตั้งพื้นหลัง
- ปรับการตั้งค่ากล้อง
- จัดตำแหน่งสินค้า
- ตั้งแผ่นรีเฟล็กซ์
- ถ่ายภาพและเช็คคุณภาพ
- แต่งภาพตามความจำเป็น
- ปรับขนาดให้เหมาะกับเว็บไซต์