คำถามที่พบบ่อยที่สุดที่ลูกค้าถามร้านค้าอีคอมเมิร์ซมักคือคำถามเกี่ยวกับการจัดส่งสินค้า เจ้าของร้านมักจะได้ยินคำถามเช่น “ค่าจัดส่งเท่าไหร่” และ “จะได้ของเมื่อไหร่”
ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหม ถ้าใช่ แปลว่าร้านค้าออนไลน์ของคุณอาจต้องมีนโยบายการจัดส่งที่ชัดเจน เพื่อกำหนดความคาดหวังเกี่ยวกับค่าจัดส่งและระยะเวลาในการจัดส่งนะ ถ้าคุณมีนโยบายการจัดส่งที่ครอบคลุมและเข้าถึงได้ง่าย ก็จะเป็นประโยชน์กับทั้งคุณและลูกค้าของคุณ โดยลูกค้าสามารถใช้นโยบายนั้นเป็น FAQ ที่พวกเขาจะหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง และคุณยังสามารถประหยัดเวลาที่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับการจัดส่งน้อยด้วย
วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นเขียนนโยบายการจัดส่งคือการใช้เทมเพลต นโยบายการจัดส่งนี้เปรียบเสมือนเอกสารที่มีชีวิต กล่าวคือเป็นเอกสารที่คุณสามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนได้ตามการดำเนินงานและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นสร้างกลยุทธ์การจัดส่งจากศูนย์ หรือต้องการปรับปรุงนโยบายที่มีอยู่เดิมเพื่อลดคำถามจากการสนับสนุนลูกค้าก็ตาม เทมเพลตนโยบายการจัดส่งนี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นเขียนนโยนบายการจัดส่งของคุณได้ง่ายๆ
นโยบายการจัดส่งคืออะไร?
นโยบายการจัดส่งคือชุดของข้อกำหนดที่สร้างขึ้นโดยผู้ค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งอธิบายถึงวิธีการจัดส่งคำสั่งซื้อไปยังลูกค้า นโยบายการจัดส่งมักประกอบด้วยตัวเลือกความเร็วในการจัดส่งแบบภายในประเทศและระหว่างประเทศ ระยะเวลาจัดส่ง นโยบายการคืนสินค้า เงื่อนไขการชำระเงิน ค่าจัดส่ง และการประมาณเวลาการประมวลผลคำสั่งซื้อ
นโยบายการจัดส่งมักจะระบุไว้ในข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริษัท หรือไม่ก็เป็นเอกสารแยกต่างหาก เป็นเรื่องปกติที่จะปรับปรุงนโยบายของคุณทุกๆ 2-3 เดือน โดยเฉพาะเมื่อคุณเพิ่มผู้ให้บริการจัดส่งเจ้าใหม่ ขยายเครือข่ายการจัดส่ง หรือคาดการณ์ความล่าช้าตามปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณคำสั่งซื้อหรือปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
สิ่งที่ควรระบุลงในนโยบายการจัดส่งของคุณ
สิ่งที่คุณครอบคลุมในเทมเพลตนโยบายการจัดส่งและวิธีการสื่อสารจะขึ้นอยู่กับการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดคือคุณต้องโปร่งใสกับลูกค้าเสมอ
โดยทั่วไปแล้ว นโยบายการจัดส่งของคุณจะต้องประกอบด้วยหัวข้อดังนี้
- เวลาประมวลผลคำสั่งซื้อ: หลังจากที่มีการสั่งซื้อ จะใช้เวลาทำการกี่วันในการเตรียมการจัดส่ง ระบุลงไปด้วยว่าคุณรวมสุดสัปดาห์และ/หรือวันหยุดหรือไม่ และคุณมีเวลาตัดรอบสำหรับการประมวลผลคำสั่งซื้อหรือเปล่า (เช่น คำสั่งซื้อที่ได้รับหลัง 17.00 น. จะถูกประมวลผลในวันทำการถัดไป)
- ตัวเลือกการจัดส่งภายในประเทศและระหว่างประเทศ: พื้นที่ใดบ้างที่เข้าเกณฑ์การจัดส่งภายในประเทศของคุณ ประเทศใดบ้างที่มีข้อจำกัดที่คุณไม่สามารถให้บริการจัดส่งได้ การจัดส่งระหว่างประเทศนั้นสามารถแยกออกเป็นอีกหัวข้อหนึ่งได้ โดยให้คุณระบุรายชื่อประเทศและระยะเวลาจัดส่งที่ประมาณการณ์ ถ้าคุณมีตัวเลือกการจัดส่งหลายแบบ เช่น การจัดส่งด่วน ให้แจกแจงลงในตารางด้วยเพื่อให้อ่านง่าย
- ค่าจัดส่ง: แจกแจงค่าจัดส่งของคุณให้ลูกค้าทราบ เช่น คุณมีการจัดส่งฟรีเมื่อยอดสั่งซื้อถึงเกณฑ์ที่กำหนด ให้สื่อสารเรื่องนี้ในหลายๆ จุดเพื่อกระตุ้นการขาย นอกจากนี้ยังควรแจ้งค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาษีและค่าธรรมเนียมที่ลูกค้าอาจต้องชำระเองด้วย
- ตัวเลือกการจัดส่งในพื้นที่: หากคุณมีตัวเลือกการจัดส่งหลายแบบสำหรับลูกค้าในพื้นที่ เช่น การจัดส่งในพื้นที่ใกล้เคียง หรือซื้อออนไลน์และรับสินค้าที่ร้าน ให้ชี้แจงขั้นตอนที่ลูกค้าต้องปฏิบัติตามหลังจากสั่งซื้อ และว่าพื้นที่ใกล้เคียงที่คุณจัดส่งครอบคลุมบริเวณใดบ้าง
- การคืนสินค้า การเปลี่ยนแปลง และการยกเลิก: นอกเหนือจากการรองรับการคืนสินค้าผ่าน นโยบายการคืนสินค้าแล้ว ให้ระบุข้อมูลที่สรุปว่าธุรกิจของคุณประเมินการคืนเงิน การแก้ไขคำสั่งซื้อ และการเปลี่ยนสินค้าอย่างไรบ้าง รวมถึงกระบวนการของคุณในกรณีที่คำสั่งซื้อสูญหายหรือเสียหาย
- การหยุดชะงักของบริการที่อาจเกิดขึ้น: คำสั่งซื้ออาจใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เนื่องจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ หน้าเว็บนโยบายการจัดส่งของคุณคือที่ที่คุณสามารถสื่อสารการประมาณเวลา และอธิบายให้ลูกค้าทราบว่าทำไมพัสดุของพวกเขาจึงอาจล่าช้า
- รายละเอียดการติดตามคำสั่งซื้อ: แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พวกเขาสั่งซื้อทางออนไลน์ โดยอาจเป็นอีเมลยืนยันการจัดส่งที่ระบุข้อมูลการติดตาม หรือแนวทางในการติดต่อหากมีพัสดุสูญหาย เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าทำให้ลูกค้าต้องนั่งเพ่งตาหาข้อมูลที่พวกเขาต้องการในหน้าเว็บนโยบายการจัดส่งของคุณ ถ้าเป็นไปได้ ให้คุณปรับแต่งหน้านโยบายการจัดส่งให้อ่านง่าย โดยแสดงหัวข้อย่อยที่ชัดเจน มีตาราง มีการใช้ตัวหนา และใส่ลิงก์อื่นๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
💡 เคล็ดลับ: การแจ้งความเร็วในการจัดส่งที่จุดชำระเงินให้ลูกค้าทราบ สามารถช่วยปรับปรุงการที่ลูกค้ากดสั่งซื้อสินค้าในตระกร้า ทั้งยังมอบให้ความชัดเจนและโปร่งใส และเพิ่มความมั่นใจของผู้บริโภคอีกด้วย เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มความเร็วในการจัดส่งจาก Shopify Admin ของคุณโดยตรงได้
ดาวน์โหลดเทมเพลตนโยบายการจัดส่งได้ฟรี
นโยบายการจัดส่งสำหรับแต่ละธุรกิจก็มีความแตกต่างกัน ไม่มีนโยบายไหนที่จะใช้ได้กับทุกธุรกิจ เราจึงขอแนะนำให้คุณตัด ปรับ ขยายความ หรือจัดเรียงหัวข้อต่างๆ ในตัวอย่างเทมเพลตนโยบายการจัดส่งนี้ให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะตัวของธุรกิจคุณ
ตัวอย่างนโยบายการจัดส่ง
ตัวอย่างหน้าเว็บนโยบายการจัดส่งต่อไปนี้ จะจุดประกายไอเดียให้กับคุณในการปรับแต่งนโยบายสำหรับร้านขายของออนไลน์ของคุณ เราได้รวมบริบทการจัดส่งหลายๆ แบบมาเพื่อให้คุณเห็นว่า สถานการณ์ที่แตกต่างกันนั้นหมายถึงนโยบายที่แตกต่างกันได้อย่างไรบ้าง
สร้างนโยบายการจัดส่งในพื้นที่ใกล้เคียงสำหรับลูกค้าที่อยู่ใกล้
ร้านค้าหลายแห่งได้ต้อนรับลูกค้าในชุมชนของตน โดยการเสนอการจัดส่งในพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมมีตัวเลือกการซื้อออนไลน์และมารับสินค้าที่ร้าน แต่ละตัวเลือกนั้นก็มาพร้อมขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งคุณต้องสื่อสารให้ชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์อันราบรื่น
ถ้าธุรกิจของคุณต้องพึ่งพาคนในพื้นที่อย่างมาก คุณก็สามารถระบุรหัสไปรษณีย์ที่คุณให้บริการ หรือฝังแผนที่ไว้ในหน้าเว็บการจัดส่งของคุณ เพื่อแจ้งขอบเขตการจัดส่งในพื้นที่ใกล้เคียงให้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น Magnolia Bakery ที่ตั้งหน้าแลนดิ้งขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้ลูกค้าค้นหาเบเกอรี่ที่พวกเขาสามารถมารับเอง หรือจัดส่งได้ภายในวันเดียวกัน
แบ่งนโยบายการจัดส่งออกเป็นหลายหน้า
แบรนด์ของขวัญอย่าง Goodee ได้แบ่งนโยบายการจัดส่งออกเป็นหลายหน้า หน้าเว็บการจัดส่งหลักของพวกเขาออกแบบมาเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่ แต่หน้า FAQ ของพวกเขายังมีลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ลูกค้าจากต่างประเทศสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประมวลผลคำสั่งซื้อและการจัดส่งได้
ใช้ตารางเพื่อจัดการความคาดหวังของลูกค้า
ในบางกรณี คุณจะต้องระบุไทม์ไลน์การจัดส่งอย่างชัดเจนไว้ให้ลูกค้า เช่น ถ้าผลิตภัณฑ์ของคุณมักถูกซื้อเป็นของขวัญสำหรับหน้าเทศกาลหรือโอกาสพิเศษต่างๆ การที่ผลิตภัณฑ์ไปถึงมือผู้รับตรงเวลานั้นจึงสามารถสร้างความพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างทวีคูณ
Our Place ร้านขายเครื่องครัวถือว่าทำได้ดีในด้านนี้ พวกเขาแยกไทม์ไลน์การจัดส่งสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สั่งจองล่วงหน้าออกมาต่างหาก เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าจะมีความล่าช้าอย่างไรบ้างก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์
ปรับแต่งนโยบายการจัดส่งระหว่างประเทศ
ถ้าคุณขายสินค้าไปต่างประเทศด้วย คุณต้องช่วยลูกค้าจากต่างประเทศทำความเข้าใจนโยบายการจัดส่งของคุณ โดยปรับแต่งหน้าแลนดิ้งสำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ
ตัวอย่างเช่น Gymshark นอกจากจะมีหน้าเว็บนโยบายการจัดส่งทั่วไปแล้ว พวกเขายังมีเมนูแบบดรอปดาวน์สำหรับให้ลูกค้าเลือกประเทศที่จะจัดส่งด้วย และตัวเลือกสำหรับประเทศปลายทางดังกว่าจะมีข้อมูลที่ตอบคำถามลูกค้าจากแต่ละประเทศได้มากขึ้น เช่น คำสั่งซื้อจากต่างประเทศจะใช้เวลาจัดส่งนานแค่ไหน มีวิธีการจัดส่งระหว่างประเทศแบบไหนบ้าง พัสดุต้องมีการเซ็นรับหรือไม่ และค่าจัดส่งจะเป็นเท่าไหร่
เสนอขายบริการจัดส่งฟรีในหน้านโยบาย
มีข้อมูลระบุว่า 62% ของชาวอเมริกันจะไม่ซื้อสินค้าออนไลน์ถ้าไม่มีตัวเลือกการจัดส่งฟรี ถ้าดูเผินๆ ก็อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่เราจะทำกำไรด้วยการเสนอบริการจัดส่งฟรี แต่จริงๆ แล้วการที่ลูกค้าต้องการให้มีการจัดส่งฟรี ก็เป็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำ ตัวอย่างเช่น Beardbrand ได้อาศัยข้อดีตรงนี้โดยระบุเอาไว้ในหน้านโยบายการจัดส่ง
Beardbrand เปิดตัว Alliance ซึ่งเป็นบริการและคอมมิวนิตี้สำหรับผู้ที่สมัครสมาชิก โดยมีค่าสมัครอยู่ที่ 90 ดอลลาร์ ผู้ที่ซื้อสินค้ากับแบรนด์โดยตรงจำนวน 3 ครั้ง หรือมียอดคำสั่งซื้ออยู่ที่ 150 ดอลลาร์จะได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมคลับสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้ ซึ่งมีโอกาสที่จะสร้างรายได้มหาศาลและกระตุ้นให้พวกเขารักษาลูกค้าไว้ได้
หน้า FAQ ของพวกเขาคือที่ที่เหมาะมากๆ ที่จะพูดถึง Beardbrand Alliance ตรงคำถามที่ว่า “ทำไมค่าจัดส่งจึงเพิ่มขึ้น” Beardbrand ได้ขายการสมัครสมาชิก Alliance พ่วงไปด้วยเพื่อดึงดูดลูกค้าที่อ่อนไหวต่อราคาและต้องการค่าจัดส่งที่ถูกลง
ควรสื่อสารนโยบายการจัดส่งให้ลูกค้าตรงไหน
แนวทางที่ดีที่สุกคือ คุณควรแสดงนโยบายการจัดส่งของคุณในหลายจุดที่ลูกค้าเข้าถึง ไม่ควรแสดงเอาไว้แค่ในหน้านโยบายการจัดส่งเท่านั้น แต่ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลที่พวกเขาต้องการได้ง่ายขึ้น โดยการสื่อสารนโยบายการจัดส่งของคุณในทุกจุดที่ลูกค้าอาจลังเลที่จะสั่งซื้อ
มาดูตัวอย่างต่างๆ เพื่อใช้เป็นไอเดียในการนำเทมเพลตนโยบายการจัดส่งของคุณไปแสดง เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
อัปเดตแบนเนอร์บนเว็บไซต์
เมื่อคุณคาดว่าจะเกิดความล่าช้าในการจัดส่ง หรือมีคำสั่งซื้อเข้ามาในปริมาณมาก หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสื่อสารกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ให้คุณแจ้งเรื่องความล่าช้าผ่านแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของคุณ แบนเนอร์เหล่านี้มักอยู่ที่ด้านบนของหน้าเว็บร้านค้าอีคอมเมิร์ซ และในธีม Shopify ที่มีให้เลือกมากมายนี้เอง ก็มีแบนเนอร์มาให้เลือกในตัว แต่คุณก็สามารถเพิ่มแบนเนอร์ลงไปในร้านค้าของคุณผ่านแอป Shopify ที่คุณใช้ได้ทันที
นอกจากการอัปเดตเรื่องความล่าช้าในการจัดส่งแล้ว คุณยังสามารถใช้แบนเนอร์ที่หน้าเว็บไซต์เพื่อไฮไลต์สิ่งที่อาจกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ เช่น ใช้แบนเนอร์เพื่อแจ้งว่ามีบริการจัดส่งฟรีสำหรับคำสั่งซื้อที่มียอดมากกว่า 1,500 บาท หรือประกาศว่ามีบริการส่งทั่วไทยในอัตราเดียว เป็นต้น
เพิ่มลิงก์ไปยังส่วนท้ายของเว็บไซต์
ส่วนท้ายหรือฟุตเตอร์ของเว็บไซต์ อาจเป็นที่แรกที่ลูกค้าจะดูเวลามองหานโยบายการจัดส่งของคุณ รวมถึงลิงก์อื่นๆ เพื่อเข้าถึงบริการช่วยเหลือสำหรับลูกค้าด้วยตนเอง
ถ้าการจัดส่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าของคุณกังวลเป็นพิเศษ การใส่หน้าการจัดส่งลงไปในเมนูแบบดรอปดาวน์เพื่อนำทางลูกค้าไปยังหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์ก็จะเป็นการดีที่สุด
เพราะลูกค้าจะค้นหาได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วการระบุลิงก์ไว้ในส่วนท้ายของเว็บไซต์ก็เพียงพอแล้ว
ระบุรายละเอียดการจัดส่งลงไปในหน้าผลิตภัณฑ์
คำถามเกี่ยวกับการจัดส่งมักเกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อกำลังดูหน้าผลิตภัณฑ์ของคุณ ดังนั้นคุณควรระบุข้อมูลโดยทั่วไปเกี่ยวกับนโยบายการจัดส่งไว้ในหน้าผลิตภัณฑ์แต่ละหน้า เช่น เขียนข้อความสั้นๆ เกี่ยวกับเงื่อนไขบริการส่งฟรีเพื่อจูงใจลูกค้า หรือเพิ่มแท็บในหน้าผลิตภัณฑ์ที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการจัดส่งโดยละเอียด
เน้นข้อมูลการจัดส่งให้เด่นชัดในหน้า FAQ
หน้า FAQ ไม่ได้มีไว้สำหรับการแก้ปัญหาของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสุดๆ ในการโชว์รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับนโยบายการจัดส่งที่อาจชนะใจลูกค้าที่ยังลังเลอยู่ด้วย เช่น ระบุนโยบายเกี่ยวกับการส่งคือ หรือยอดขั้นต่ำสำหรับบริการส่งฟรี
แจ้งระยะเวลาสำหรับตัวเลือกการจัดส่งแบบต่างๆ
ที่หน้าชำระเงิน เมื่อผู้ซื้อต้องเลือกตัวเลือกการจัดส่ง การระบุให้เห็นว่าตัวเลือกการจัดส่งแต่ละแบบจะใช้เวลาเท่าไหร่ก็จะเป็นเรื่องดีมากๆ เช่น ตัวเลือกการจัดส่งแบบมาตรฐานของคุณอาจใช้เวลา 5-7 วันทำการ ส่วนตัวเลือกแบบเร่งด่วนอาจใช้เวลาเพียง 2 วัน เป็นต้น
การแจ้งข้อมูลนี้จะทำให้ลูกค้าสามารถเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาได้ง่ายขึ้น และการระบุข้อมูลนี้ไว้ที่หน้าชำระเงินก็อาจมีประโยชน์ โดยเฉพาะถ้าคุณมีระยะเวลาการจัดส่งที่นานกว่า 1 สัปดาห์ และต้องการลดจำนวนลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาถามถึงคำสั่งซื้อของพวกเขา
สร้างความคาดหวังที่ถูกต้องด้วยนโยบายการจัดส่งของคุณ
ความไว้วางใจคือรากฐานในการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้ประสบความสำเร็จ และนโยบายการจัดส่งของคุณจะช่วยให้ทั้งคุณและลูกค้าเข้าใจตรงกัน
การสื่อสารอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมาเมื่อเป็นเรื่องของความคาดหวังจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าจากคุณได้ง่ายขึ้น และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจนกระทบการดำเนินงานของธุรกิจคุณ นโยบายการจัดส่งจะช่วยให้คุณรักษาความไว้วางใจที่คุณอุตส่าห์สร้างขึ้นมาได้
แต่ถ้าการจัดส่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไปสำหรับคุณล่ะก็ คุณก็มีตัวเลือกในเอาต์ซอร์สการจัดส่งนะ Shopify Fulfillment Network สามารถเชื่อมโยงร้านค้าออนไลน์ของคุณกับ Flexport ซึ่งเป็นบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำที่จะจัดหยิบสินค้า บรรจุ และจัดส่งคำสั่งซื้อไปยังลูกค้าของคุณได้โดยตรง โดยที่คุณไม่ต้องเข้ามาจัดแจง
ข้อดีแบบสุดๆ ของบริการนี้ก็คือ บริการนี้มาพร้อมตัวเลือกความเร็วในการจัดส่งที่ยืดหยุ่นได้และอัตราค่าบริการที่น่าคบหา ดังนั้นคุณจะจ่ายเฉพาะบริการที่คุณต้องการได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทมเพลตนโยบายการจัดส่ง
จะเขียนนโยบายการจัดส่งได้อย่างไรบ้าง
- แจ้งระยะเวลาประมวลผลคำสั่งซื้อ
- แจ้งอัตราค่าจัดส่งภายในประเทศ
- แจ้งข้อมูลการจัดส่งระหว่างประเทศ
- ระบุรายการค่าธรรมเนียมการจัดส่ง
- ระบุเกณฑ์การจัดส่งฟรี
- แสดงตัวเลือกการจัดส่งในพื้นที่ใกล้เคียง
- อธิบายวิธีที่ลูกค้าสามารถติดตามคำสั่งซื้อของตนได้
- กล่าวถึงนโยบายการคืนเงิน การคืนสินค้า หรือการเปลี่ยนสินค้า
- แสดงตัวเลือกสำหรับการติดต่อ
จำเป็นต้องมีนโยบายการจัดส่งหรือไม่?
แม้จะไม่ใช่ข้อกำหนดตามกฎหมาย แต่การมีนโยบายการจัดส่งที่ชัดเจนและละเอียดก็จะทำให้ลูกค้ารับทราบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิธีและระยะเวลาในการจัดส่งคำสั่งซื้อของพวกเขา อีกทั้งยังช่วยปกป้องคุณจากข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นด้วย อย่าลืมสอบถามจากที่ปรึกษาทางกฎหมายเพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ